Haijai.com


Growing a Kindness Heart ปลูกรักในใจลูก


 
เปิดอ่าน 1645
 

Growing a Kindness Heart ปลูกรักในใจลูก

 

 

ทักษะพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะสอนกันได้เสมอไป เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ เหมือนกับการสอนลูกให้เขียนหนังสือ หรือสอนลูกให้เก็บของเล่น เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิตประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามารอบตัวจะสอนบทเรียนเหล่านี้ให้กับเราเอง คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจได้เรียนรู้แล้วว่า “หากต้องการความรัก คุณต้องมอบความรักก่อน” หรือหากต้องการให้คนอื่นมีน้ำใจกับเรา เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้ผู้อื่นด้วย”

 

 

จริงอยู่ค่ะที่ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สอนกันได้ไม่ง่ายนัก แต่ในเมื่อเด็กๆ เปรียบเสมือนผ้าขาวที่รอการแต่งแต้มจากผู้ใหญ่อย่างเราๆ คุณก็น่าจะสามารถปลูกฝังสิ่งดีๆ เหล่านี้ลงในหัวใจของลูกได้ ด้วยการสอนเรื่องของการแบ่งปันและช่วยเหลือ เพราะนี่เองคือเมล็ดพันธุ์แห่งความรักซึ่งจะก่อเกิดขึ้นในใจลูกได้ต่อไป

 

 

10 วิธีปลูกรักในใจลูก

 

ธรรมชาติของเด็กๆ ชอบที่จะได้ช่วยเหลือ แม้บางครั้งผู้ใหญ่จะมองว่าเจ้าตัวน้อยช่วยยุ่งเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามในฐานะพ่อแม่ที่จะต้องชี้นำแนวทางที่ถูกต้องให้ลูก คุณก็ควรให้คำแนะนำและเป็นตัวอย่างที่ดี ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเด็กๆ เรียนรู้จากการกระทำของผู้ใหญ่รอบๆ ตัวเขานั่นเองค่ะ

 

 

1.Show a Little bit of Kindness แสดงให้ลูกเห็นว่าคุณก็เห็นอกเห็นใจบุคคลรอบกาย ด้วยการใส่ใจ และห่วงใยความเป็นไปของกันและกัน เริ่มง่ายๆ จากคนในครอบครัว หากว่าคุณย่าคุณยายไม่สบาย คุณก็อาจจะชวนลูกทำข้าวต้มไปเยี่ยม คุณพ่อบ้านก็อาจจะแสดงความมีน้ำใจต่อคุณแม่ด้วยการชวนลูกๆ อาสาทำความสะอาดบ้านให้ในวันหยุด เมื่อความมีน้ำใจให้แก่กันเกิดขึ้นภายในบ้านของคุณจนกลายเป็นกิจวัตรแล้ว สิ่งดีๆ เหล่านี้ก็จะส่งผ่านไปยังสังคมที่คุณอยู่โดยอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่ต้องระลึกไว้อยู่เสมอค่ะว่า สิ่งดีๆ ในสังคมจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากภายในครอบครัวก่อน

 

 

2.Respect to the Earth นอกจากห่วงใยซึ่งกันและกันแล้ว การห่วงใยโลกใบนี้ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ก็เป็นสิ่งที่คุณควรทำให้ลูกเห็นความสำคัญด้วย เริ่มง่ายๆ จากการทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ทุกคนจะทำได้แน่ๆ ค่ะ หากคุณหรือลูกบังเอิญทำเศษกระดาษตกพื้น ก็อย่าละเลยที่จะเก็บเศษกระดาษนั้นไปทิ้งให้ถูกที่ เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นหนังสือพิมพ์ หรือแก้วกาแฟ วางทิ้งไว้ในที่นั่งสาธารณะ หากไม่ลำบากเกินไปช่วยกันเก็บไปทิ้ง นอกจากความรู้สึกดีที่คุณจะรู้สึกได้จากการกระทำนี้แล้ว เจ้าตัวเล็กที่เฝ้ามองคุณอยู่ก็ได้เรียนรู้สำนึกที่ดีไปพร้อมกันด้วย ครั้งต่อไปที่คุณจะทิ้งขยะ หรือเห็นเศษขยะที่ไหนสักแห่ง หากคุณคิดว่า “ทิ้งตรงไหนก็ได้ เดี๋ยวคนกวาดขยะไม่มีงานทำ” หรือ “ไม่ใช่หน้าที่ของฉันต้องเก็บขยะ” แต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะคิดว่าการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกนั้นเป็นหน้าที่ซึ่งพ่อแม่ที่ดีควรกระทำค่ะ

 

 

3.Assign Duties เด็กๆ ควรได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นั้นเป็นสิ่งที่ครอบครัวต้องการ หนึ่งเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว สองเพราะเราต่างอาศัยอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน และท้ายที่สุดคือ เพราะมันเป็นสิ่งถูกต้องที่ควรกระทำ สอนให้ลูกเก็บที่นอนหลังจากตื่นนอนไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินทำได้ เช่นเดียวกันกับการสอนลูกให้รดน้ำต้นไม้ หรือเก็บของเล่นเข้าที่ทุกครั้ง คุณอาจทำตารางหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกติดไว้ในที่ที่เห็นได้ชัด เมื่อลูกทำตามหน้าที่ในแต่ละวันได้สำเร็จ ติดสติกเกอร์สวยๆ เพื่อสะสมแต้ม และเมื่อทำหน้าที่ได้ครบทั้งสัปดาห์ก็รับรองได้ว่าลูกๆ ต้องภูมิใจกับสิ่งที่เขาได้ช่วยทำแน่นอน

 

 

4.Don’t Complain the Effort แน่นอนว่าคุณจะเก็บที่นอนได้เร็วกกว่ารินนมใส่แก้วได้โดยที่นมไม่หยดสักนิด แต่หากคุณเข้าไปทำแทน หรือไม่ก็วิพากษณ์วิจารณ์สิ่งที่ลูกพยายามจะช่วยมากเกินไป นอกจากหนูน้อยจะไม่ได้เรียนรู้แล้ว เด็กๆ ก็อาจไม่อาสาที่จะช่วยอีกเลย หากคุณทนรำคาญท่าทางเงอะงะของลูกไม่ได้ คุณก็อาจทำให้ลูกเสียโอกาสที่จะเรียนรู้ เด็กๆ ชอบที่จะได้ช่วยทำอาหาร ล้างผัก เก็บกวาดบ้าน ในครั้งแรกๆ หนูน้อยอาจทำได้ไม่ดีนัก แต่คุณก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ ด้วยการสอนลูกถึงวิธีที่ถูกต้อง สอนลูกเสียตั้งแต่ในบ้าน และเจ้าตัวเล็กของคุณจะก้าวออกสู่โลกกว้างภายนอกได้อย่างมั่นใจ

 

 

5.Share Your Stuffs หากตู้หนังสือที่บ้านเริ่มเต็ม หรือร่างกายของลูกเริ่มเติบโตจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้ ชวนเจ้าตัวเล็กแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน หรือบริจาคให้กับผู้ที่ขาดแคลน สิ่งนี้เป็นบทเรียนแห่งการแบ่งปันบทแรกๆ ที่คุณและลูกสามารถทำได้ง่ายมากๆ ค่ะ

 

 

6.Look Through the World with Love ในโลกแห่งข้อมูลข่าวสารและการแข่งขันอย่างทุกวันนี้ เป็นไปได้มากที่เจ้าตัวเล็กจะรู้สึกว่าโลกรอบตัวของเขาช่างโหดร้ายและอันตราย คุณควรจะชี้ชวนให้ลูกมองสิ่งดีๆ ของโลกใบนี้ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวกันของเยาวชนเพื่อช่วยเหลือคนพิการ หรือคุณอาจจะตัดข่าววิวัฒนาการใหม่ๆ การค้นพบต่างๆ ที่น่าสนใจมาพูดคุยกับลูก ให้หนูน้อยได้รู้สึกว่าในโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ความโหดร้ายที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ผ่านสื่อเท่านั้น

 

 

7.Willing to Help ให้ลูกเห็นว่าคุณทำสิ่งที่นอกเหนือไปจากหน้าที่ของคุณ เช่น ยินดี หากเพื่อนบ้านต้องการความช่วยเหลือ ฝากดูแลสุนัขขณะที่เขาต้องไปต่างจังหวัด เสนอตัวเป็นครูอาสาสมัครช่วยสอนพิเศษเด็กๆ ในโรงเรียนของลูก หรือชวนลูกไปอ่านหนังสือให้กับคนตาบอด การที่คุณเสียสละเวลาของคุณทำสิ่งต่างๆ เพื่อคนอื่นอย่างเต็มใจ และมีความสุขนี้ ไม่เพียงแต่ลูกจะภูมิใจในตัวคุณ แต่เขายังมองคุณเป็นแบบอย่างในการทำความดีอีกด้วย

 

 

8.Say Thanks หากคุณสอนลูกให้กล่าวคำขอบคุณทุกครั้ง เมื่อผู้ใหญ่ทำสิ่งใดๆ ให้ แต่คุณเองกลับแทบไม่ค่อยพูดคำๆ นี้เลย ก็มีความเป็นไปได้มากว่า เจ้าตัวเล็กจะกล่าวขอบคุณเมื่อมีคนบอกให้ทำเท่านั้น คุณเองจึงควรฝึกพูดคำว่าขอบคุณ และขอบใจให้เป็นนิสัย แม้กระทั่งกับลูกของคุณเอง เมื่อใดก็ตามที่ลูกทำสิ่งดีๆ ให้อย่าลืมที่จะแสดงให้เจ้าตัวเล็กรับรู้ว่าคุณซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำให้ โดยการกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจ ทั้งนี้รวมไปถึงคนรอบๆ กาย ตั้งแต่พนักงานเสิร์ฟอาหาร คนขับรถ ฯลฯ เพราะบางครั้งเพียงแค่การแสดงความซึ้งใจและคำขอบคุณเพียงคำเดียว ก็อาจทำให้คนบางคนมีกำลังใจทำงานไปได้ทั้งวัน

 

 

9.Visit the Temple พาลูกไปวัด ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีที่ต้องทำนุบำรุงศาสนา แต่เพราะว่าวัดเป็นสถานที่แห่งความสงบ ที่ไม่ว่าใคร วัยใด หากเยื้องกรายเข้าไปก็ย่อมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสงบเย็น ที่จะทำให้จิตใจนิ่งและเป็นสุขได้ในขณะหนึ่ง และจิตใจที่นิ่ง และมีสมาธินี่เอง ที่จะก่อให้เกิดความคิดดีๆ ตามมา นอกจากนี้จะว่าไป วัด ก็เป็นสถานที่แห่งการให้ที่ชัดเจนแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการที่พระสงฆ์ให้ความรู้ต่อศาสนิกชนด้วยการเทศนา ให้ความรู้ต่อเด็กๆ ที่ขาดโอกาส ให้ที่พักพิงต่อผู้ยากไร้ ประชานชนให้ทานทำบุญด้วยใจที่เป็นกุศล ดังนั้น การพาลูกเข้าวัด จึงเท่ากับเป็นการสอนบทเรียนแห่งการให้ที่ยิ่งใหญ่กับเจ้าตัวเล็กได้อีกทางหนึ่ง

 

 

10.Be Kind to Your Child หัวใจสำคัญของการที่คุณจะปลูกรักในใจลูกให้เป็นผลสำเร็จนั้นก็คือ การที่คุณมีความกรุณา เมตตาต่อเจ้าตัวเล็กของคุณเองก่อน เด็กๆ มักทำสิ่งผิดพลาดได้เสมอ คุณต้องใจเย็น และระลึกว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ของเจ้าตัวเล็กนั้น คือบทเรียนชีวิตของลูก อย่าตวาด กราดเกรี้ยว ไม่ฟังเหตุผล หรือทำโทษราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิดมหันต์ เพราะยิ่งคุณทำโทษและใช้อารมณ์กับลูกมากเท่าไร ก็อาจจะยิ่งเท่ากับคุณกำลังก่อกำแพงปิดล้อมหัวใจดวงน้อยๆ ของลูก ให้ไม่กล้าที่จะเรียนรู้ ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถาม กระทั่งไม่กล้าพูดคุยกับคุณเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงเป็นการยากที่เมล็ดพันธุ์แห่งความรักในใจของลูก จะเจริญเติบโตผลิดอกออกผลเพื่อคนอื่นๆ ต่อไป

(Some images used under license from Shutterstock.com.)