
© 2017 Copyright - Haijai.com
Brain Exercise ออกกำลังสมอง
การออกกำลังกายเป็นเทรนด์ที่มาแรงทุกยุคทุกสมัยเลยนะคะ แต่จริงๆแล้วนอกจากร่างกายต้องการการออกกำลังแล้ว สมองของเราก็ต้องการการออกกำลังเช่นเดียวกันค่ะ
เมื่อก่อนเราพากันเชื่อว่า การฝึกสมองให้ดี ให้ฉลาด ให้ว่องไวนั้น เราต้องฝึกที่สมอง ฝึกที่กระบวนการคิด ถ้าเป็นเด็กก็ให้ทำการบ้านเยอะๆ ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ให้อ่านหนังสือเยอะๆ ยากๆ ทำงานมากๆ แล้วก็จะเก่งไปเอง แต่งานวิจัยใหม่ๆเกี่ยวกับสมองเริ่มออกมาบอกว่า เราคิดผิดไปแล้วค่ะ เพราะว่าสมองของเรา จะดีเองโดยตัวของเขาลำบากมาก เพราะสมองกับร่างกายเป็นเหมือน “แฝดสยาม” ที่แยกออกจากกันไม่ได้เป็นอันขาด อะไรที่สมองคิด จะส่งผลถึงร่างกาย และอะไรที่ร่างกายกระทำจะส่งสัญญาณถึงสมอง ดังนั้น การเคลื่อนไหวร่างกายให้เป็น จึงเป็นกุญแจอีกดอกหนึ่ง ซึ่งไขไปสู่อัจฉริยภาพของมนุษย์ได้เลยทีเดียวนะคะ
จริงๆแล้วตั้งแต่วัยทารกเป็นต้นมาที่พวกเราต้องการการเคลื่อนไหวเพื่อเรียนรู้สภาพแวดล้อม เริ่มจากการขยับแขนขยับขาแบบ “มั่วๆ” หยิบนู่นหยิบนี่มาใส่ปากบ้าง โยนแกว่งไปมาบ้าง แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์เรานี่เรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายแท้ๆเลยทีเดียว และพอโตขึ้นมาอีกสักหน่อย เด็กๆเริ่มคลาน คราวนี้คลานไปทุกที่เลยค่ะ เพื่อหยิบจับสิ่งของเพื่อนำมาเรียนรู้ในรัศมีที่ยิ่งกว้างออกไปอีก และพอเริ่มวิ่งได้ คราวนี้ยิ่ง ห้ามไม่อยู่เลยค่ะ ทั้งวิ่งทั้งกระโดดทั้งปีนป่าย หนูดีอยากให้ลองสังเกตว่า เด็กเล็กๆเรียนรู้ผ่านการเคลื่อนไหวไปโดยธรรมชาติกำหนด คือ พูดง่ายๆว่า ชาติพันธุ์เราถูกกำหนดมาว่า ให้เคลื่อนไหวมากๆ และธรรมชาติก็ตอบแทนเราด้วย สารเคมีความสุข จำพวกเอนดอร์ฟิน และโดพามีน เมื่อเราขยับเขยื้อนออกกำลัง และเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ ความต้องการการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้หายไปไหนนะคะ แต่เราสามารถเก็บกดเขาไว้ได้ แต่การเก็บกดสิ่งใด ก็มักมีผลร้ายตามมาเมื่อนั้น ซึ่งอาจจะไม่แสดงออกในรูปแบบที่เห็นได้ชัด แต่ก็อาจเป็นในลักษณะการสมองตื้อ เบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากเรียน ไม่อยากทำงาน เพราะสารเคมีความสุขไม่ได้ถูกหลั่งออกมาตามธรรมชาติ
สารเคมีความสุขเหล่านี้ เป็นสารเสพติดนะคะ มีรูปแบบโมเลกุลใกล้เคียงกับยาเสพติดราคาแพงที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด เพราะฉะนั้น พวกคนทำงานด้านสมองอย่างหนูดีและเพื่อนๆ นักวิจัยมักจะชอบแซวกันว่า จะเปลืองเงินไปเสพยาทำไม แถมเสี่ยงติดคุกอีกต่างหาก ของแบบนี้เราผลิตเองก็ได้ แค่เราไปออกกำลัง แค่เราลองเรียนรู้อะไรใหม่ๆผ่านการเคลื่อนไหวเราก็มีแล้ว รู้ไหมคะว่า พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในสมองเรานี่เองค่ะ และนี่คือเหตุผลที่หนูดีเรียนเต้นไปเสียแทบทุกอย่าง ตั้งแต่บัลเลต์ ซัลซา เบลลี่แดนซ์ อาฟริกันแดนซ์ ไปจนถึง โยคะ พิลาติส และชี่กง ทุกหนที่ออกกำลังกายเสร็จ หนูดีจะรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง รู้สึกชีวิตมีความหวัง มีพลังสดใส และหนูดีไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวนะคะ มีรายงานจากนักกีฬาที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมาก บอกว่า เขารู้สึกสดชื่นในลักษณะนี้ หลังจากการแข่งหรือการซ้อมอย่างหนัก แปลว่า สมองเราเสพสารนี้ไปจนเต็มอิ่ม หนูดีเลยขออนุญาติเรียกสารนี้ว่า “ยาเสพติดไร้โทษ” ก็แล้วกันนะคะ หรือ “ยาเสพติดไม่ต้องเสียเงิน”
แต่ก็แปลกนะคะ ของดีๆที่ร่างกายเราผลิตเองได้แบบนี้ คนกลับไม่ค่อยใช้กัน แล้วพอนั่งเฉยๆก็บ่นกันว่า คิดไม่ออก กลัว ผลัดวันประกันพรุ่ง วิตกกังวล อารมณ์ไม่ดี สารพัดที่จะเป็นกันทั้งๆที่ถ้าเรา รู้วิธีทำงานของสมองเราจะรู้ว่า การนั่งนานๆต่อไป ไม่ว่าหน้าคอมพิวเตอร์ หรือ หน้าสมุดการบ้านนั้น ไม่ช่วยอะไรเรา เท่ากับการตัดใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเคลื่อนไหวไปมาง่ายๆ แม้แต่การบิดขี้เกียจในกรณีนี้ ก็ยังบำรุงสมองมากกว่า การฝืนนั่งต่อไปแล้วคิดไม่ออกตั้งมากมาย เพราะฉะนั้น คนเป็นพ่อแม่ ควรฝึกให้ลูกเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ แต่ที่สำคัญก็คือคนที่เป็นพ่อแม่นั่นเองค่ะ ที่ต้องฝึกตัวเอง จัดเวลาให้ออกกำลัง เพราะเราคงไม่สามารถฝึกอัจฉริยภาพด้านร่างกายให้ลูกได้ หากเราไม่มีเองเสียก่อน ตรรกะง่ายๆค่ะ “เราไม่สามารถให้ในสิ่งทีเราไม่มีได้”
วันนี้ หนูดีเลยมีท่าฝึกบริหารสมองสนุกๆหกขั้นตอนมาให้ลองทำกันดูนะคะ เป็นหกท่าทางด่วนสู่สมองไบรท์ที่หนูดีใช้เองเป็นประจำเพื่อบำรุงสมอง ทุกครั้งที่ทำเสร็จ รับรองว่าจะรู้สึกดีแน่ๆค่ะ
ขั้นที่หนึ่ง “ดื่มน้ำเปล่า” แค่เรายกมือขึ้นป้อนน้ำตัวเอง ก็ทำให้สารเคมีในสมองส่งถึงกันได้ดีขึ้นแล้วค่ะ ดังนั้นก่อนการออกกำลังทุกชนิด ให้ดื่มน้ำเปล่าอุณภูมิห้องก่อนเลยนะคะ
ขั้นที่สอง “นวดปุ่มสมอง” เอามือซ้ายของเราวางไว้ที่ท้องนะคะ หายใจเข้าออกช้าๆให้รู้สึกว่า มือของเราเคลื่อนไหวขึ้นลงเป็นจังหวะ แล้วเอานิ้วชี้กับโป้งมือขวานวดวนเบาๆใต้กระดูกไหปลาร้า เสร็จแล้วนวดวนที่ริมฝีปากบนและล่าง ท่านี้อย่าลืมนั่งหลังตรงเพื่อขยายความจุปอดด้วยนะคะ ท่านี้ช่วยเรียกอาหารสมองชั้นดี คือ ออกซิเจนเข้าสู่ระบบการหายใจค่ะ
ขั้นที่สาม “เคลื่อนไหวสลับข้าง” เป็นการข้ามเส้นแบ่งกึ่งกลางกายระหว่างสมองทั้งสองซีก ทำให้เขาส่งข้อมูลผ่านถึงกันได้ดีขึ้นค่ะ โดยการเอามือซ้ายไปแตะร่างกายซีกขวาและมือขวามาแตะร่างกายซีกซ้ายเบาๆ เช่นแตะเข่า แตะข้อศอก แตะหัวไหล่ ทำเข้ากับจังหวะเพลงก็ได้ค่ะ
ขั้นที่สี่ “ท่าเกี่ยวตะขอ” เป็นท่าที่ทำให้วงจรไฟฟ้าในร่างกายสมบูรณ์ค่ะ โดยเรานั่งหลังตรง เท้าวางสบายๆ หายใจเข้าออกลึก แล้วเอามือมาประกบกันหลวมๆ ให้ปลายนิ้วแตะกันเบาๆ จะช่วยให้เราคิดในเชิงบวกได้ดีขึ้นมากเพราะสมองเราสมดุลย์ขึ้น
ขั้นที่ห้า “นวดจุดบวก” สมองส่วนหน้าของเราทำงานหนักมากในการคิด เพราะฉะนั้นการนวดลงไปที่หน้าผากตรงๆก็ช่วยมากเลยค่ะ เราจะเอามือเราทัง้คู่มาวางปลายนิ้วลงที่หน้าผาก แล้วนวดเบาๆ
ขั้นที่หก “ท่า ตาดูหูฟัง” เป็นการนวดท้ายทอยในส่วนที่มีผมปกคลุมเบาๆ เพื่อกระตุ้นประสาทตา และคลี่กลีบหูหรือ ใบหูออกเบาๆเพื่อกระตุ้นประสาทการรับฟังเสียง
จากนั้นหายใจเบาๆ ลึกๆ สักสองสามนาที แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับให้ลูกๆทำก่อนไปโรงเรียน ก่อนทำการบ้าน และที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่เองก็ควรลองทำดูค่ะ เพราะว่า ท่าเหล่านี้ได้ถูกคิดค้นและทดลองโดยนักวิทยาศาสตร์สมองและนำไปใช้กันทั่วโลกแล้ว ขอให้เคลื่อนไหวอย่างมีความสุขกันทุกคนค่ะ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)