
© 2017 Copyright - Haijai.com
ขี้เหล็ก
ขี้เหล็กมีชื่อท้องถิ่นที่เรียกกันหลายชื่อ เช่น ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง-สุราษฎร์) ขี้เหล็กเผือก (เชียงใหม่) ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง) ผักจี้ลี้ (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี) ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ) ขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้) ขี้เหล็กโคก ขี้เหล็กแพะ ขี้เหล็กป่า หรือขี้เหล็กสาร
จัดเป็นไม้ยืนต้น ที่นอกจากจะปลูกเอาไว้รับประทานยอดอ่อนแล้ว ยังใช้เป็นร่มเงาบังแสงแดดได้ด้วย การนำขี้เหล็กมาทำเป็นอาหาร จะนิยนำส่วนของดอกตูมและใบอ่อน ซึ่งจะมีรสค่อนข้างขมจัด ดังนั้น ก่อนจะนำมาปรุงอาหาร ควรนำไปต้มในน้ำเดือด และรอให้น้ำกลายเป็นสีเขียว หรือใบขี้เหล็กเปื่อยเล็กน้อย โดยต้มแบบทิ้งน้ำประมาณ 2 น้ำก็พอ เพื่อไม่ทำให้ใบขี้เหล็กเละจนเกินไป สำหรับรายการอาหารที่นิยมทำกันมากที่สุด ก็คือ การนำมาแกง เช่น แกงคั่วใสกะทิ แกงป่าใส่น้ำปลาร้า (อีสาน) หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก เป็นต้น สำหรับส่วนที่ใช้เป็นยา ได้แก่ ยอดอ่อน ใบ และดอก โดยมีสารเคมีและสารอาหารที่สำคัญ คือ สารโครโมน (พบในใบและดอก) สารแอนทราควิโนน (พบในแกนและใบ) แอลคาลอยด์บางชินด เช่น ไซเอมีน (Siamine), แคสเซียมีน (Cassiamine) ใบอ่อนและดอกตูมมีวิตามินเอ วิตามินบี2 และวิตามินซี
สรรพคุณทางยาและวิธีใช้
1.ยาระบาย
วิธีใช้ โดยนำใบขี้เหล็กทั่งอ่อนและแก่ 4-5 กำมือ ต้มกับน้ำพอท่วมให้เดือดประมาณครึ่งชั่วโมง ดื่มก่อนนอนหรือใช้ใบและดอกตูม ปรุงเป็นอาหารก็ได้
2.รักษาอาการนอนไม่หลับหรือวิตากังวล
วิธีใช้ ใช้ใบแห้งหนัก 30 กรัม หรือใบสดหนัก 50 กรัม ต้มกับน้ำให้เดือดดื่มขณะร้อนๆ ก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทำเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยาแช่ไว้ 7 วัน โดยคนบ่อยๆ ทุกวันเสร็จแล้วกรองเอากากออกดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนนอน
ข้อระวังในการใช้ ต้มนานเกินไปอาจจะให้สรรพคุณทางยาลดน้อยลง
(Some images used under license from Shutterstock.com.)