
© 2017 Copyright - Haijai.com
ทุกข์นั่น เช่นนั้นเอง
เรื่องมีอยู่ว่า หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง จำเป็นต้องตื่นแต่เช้ามืดทุกวันอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน และเตรียมข้าวของ เพราะถ้าไม่รีบเธอจะไปขึ้นรถโดยสารที่มีอยู่เพียงเที่ยวเดียวในแต่ละวันไม่ทัน จุดหมายของเธอคือโรงพยาบาล เพื่อเยี่ยมมารดาผู้เป็นที่รักและทุกๆ อย่างของเธอ มารดาของเธอนอนโรงพยาบาลมาได้ประมาณเกือบสองเดือน จากคนที่ปกติและแข็งแรงดี กลับกลายเป็นเดินไม่ได้ นอนติดเตียง อันเนื่องมาจากขยับแขนขาไม่ได้ครึ่งซีก พูดไม่ได้ ทำได้แต่กระพริบตาให้แก่ลูกสาวที่มาเยี่ยมและดูแลทุกวัน หมอบอกเธอว่ามารดาเธอเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลันและสูญเสียการทำงานของสมองไปหลายส่วน
มารดาของหญิงคนนั้นอาการกำลังแย่ลง อันเนื่องมาจากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและการติดเชื้อในปอดซ้ำจากการใส่ท่อช่วยหายใจเป็นเวลานาน หมอให้ยารักษาและขออนุญาตเจาะคอมารดาเธอ เพื่อที่จะสามารถนำท่อช่วยหายใจออกได้ลดการติดเชื้อซ้ำ ไตของมารดาเธอเริ่มวาย หมอบอกเธอว่าในไม่ช้าอาจต้องฟอกไตฉุกเฉิน เธออาจต้องมีค่าใช้จ่ายหลายพันบาท เธอไม่อยากกลับบ้าน กลัวมีเหตุด่วนเธอจะมาดูใจมารดาของเธอไม่ทัน เธอจึงไปขออาศัยปูเสื่อนอนห้องใต้บันไดของโรงพยาบาล เพื่อประหยัดเงินค่าที่พัก เผื่อว่ามารดาต้องฟอกไต
ผ่านไปหลายวัน มารดาเธออาการเริ่มดีขึ้น ยุติการฟอกไตได้ อาการทางปอดดีขึ้น กระพริบตาให้เธอได้เช่นเดิม สิ่งที่แปลกไปสำหรับเธอคือท่อเล็กๆ ที่หมอเจาะไว้ที่คอให้มารดาเธอหายใจ เธอยิ้มได้กว้างขึ้นเล็กน้อย มีกำลังใจสู้ต่อ เธอรู้แค่อยากจะสู้ต่อ แม้ว่ายังคิดไม่ออกว่าจะสู้อย่างไร
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง รู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้รับโทรศัพท์กลางดึกแล้วพบว่า น้องชายคนเดียวของเธอที่กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีปีที่หนึ่งในคณะที่เขารักและทุ่มเท เพื่อการสอบให้ได้มาตลอดถูกรถชน ศีรษะกระทบกระเทือนอย่างแรง ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วน เธออยู่นอกตัวเมือง ไกลจากโรงพยาบาล เธอไปไม่ได้ในคืนนั้น เธอนั่งรอรถโดยสารถึงเช้าจึงไปได้ เมื่อเธอไปถึงโรงพยาบาล น้องชายของเธอยังอยู่ในห้อง ICU อาการโคม่า
น้องชายของเธออาการดีขึ้น ย้ายออกจาก ICU ได้แล้ว แต่ข้าวร้ายที่หมอแจ้งให้เธอทราบก็คือ น้องชายเธออาจไม่ตื่นเขาอาจเป็นเจ้าชายนิทราตลอดไป เธอเสียใจจนพูดไม่ออกเย็นวันนั้นน้องชายของเธอต้องเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกต้นขาขวาที่หักหลายส่วน เธอกลับบ้านไม่ได้นั่งรอหน้าห้องผ่าตัดจนหลับไป
น้องชายของเธออาการดีขึ้น ไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัดซ้ำอีกแล้ว แต่เขาไม่เคยลืมตามองเธออีกเลย หมอเริ่มคุยกับเธอเรื่องการดำเนินของโรค เธอเข้าใจดี บอกหมอว่าจะขอสู้ต่ออีกซักนิด หวังว่าวันหนึ่งอาจจะมีปฏิหาริย์ น้องชายของเขาอาจจะลืมตาได้ ขอแค่ลืมตาได้ก็พอ
ที่ต้องทุกข์ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ขณะใดไม่ต้องทุกข์ เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ฉะนั้นเรามีเช่นนั้นเองไว้เป็นเครื่องดับทุกข์เถอะ อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็นเป็นเช่นนั้นเองไว้ก่อน แล้วก็จะไม่รัก จะไม่เกลียด จะไม่โกรธ จะไม่กลัว ไม่วิตกกังวลอะไร เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง”
เรื่องทั้งสองที่ผมเขียนถึงนั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่เหตุที่อยากนำมาเขียน เนื่องมาจากหญิงวัยกลางคนทั้งสองเรื่องนั้น เธอคือคนเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ๆ กัน เป็นเวลาที่เธอบอกว่าเธอทุกข์ที่สุดในชีวิต
ผมรู้สึกทึ่งและแปลกใจอย่างมากหลังจากฟังเรื่องราวของเธอ เพียงแค่ฟังก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะผ่านเรื่องราวอันโหดร้ายเช่นนี้ไปได้ แล้วเธอผ่านมันมาได้อย่างไร? เธอบอกกับผมว่าแรกๆ ก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน นอนร้องไห้เกือบทุกคืน ในใจคิดอยู่เสมอว่า ทำไมหนอเหตุการณ์ร้ายๆ เช่นนี้จึงเกิดกับครอบครัวเธอ คนในครอบครัวเธอไม่เคยคิดหรือทำร้ายใครมาก่อนเลย เธอคิดอยู่ทุกวัน จนสุดท้ายเธอก็เลิกคิด เธอบอกว่าคิดไปคิดมาก็ “เป็นเช่นนั้นเอง”
“เป็นเช่นนั้นเอง” หลายท่านอาจมองข้ามความสำคัญของคำนี้ไปนะครับ จริงๆ แล้ว เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาได้ดี ลึกซึ้ง และมีความมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ที่ทำให้ผู้ที่เข้าใจใช้จริงๆ ปล่อยวางความทุกข์ได้รวดเร็วมาก ท่านพุทธทาสเคยเรียกคำๆ นี้ว่าเป็น ยาดับทุกข์ เลยทีเดียวครับ
จริงๆ แล้วคำว่า “เป็นเช่นนั้นเอง” ตรงกับคำในพระไตรปิฎกว่า “ตถตา” นั่นเองครับ โดยได้กล่าวไว้ว่า “ตถตา” เป็นคำสรุปรวมของเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา ซึ่งครอบโลกให้เหลืออยู่เพียงว่าตถตา คือ เป็นอย่างนั้น ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็นดังนี้นะครับ
• อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
• อนัญญถตา ไม่เป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
• ธัมมัฏฐิตตา เป็นความตั้งอยู่โดยความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ
• ธัมมนิยามตา เป็นกฎตายตัวของธรรมดา
ท่านพุทธทาสยังเคยบอกอีกว่า “ที่ต้องทุกข์ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ขณะใดไม่ต้องทุกข์ เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ฉะนั้นเรามีเช่นนั้นเองไว้เป็นเครื่องดับทุกข์เถอะ อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็นเป็นเช่นนั้นเองไว้ก่อน แล้วก็จะไม่รัก จะไม่เกลียด จะไม่โกรธ จะไม่กลัว ไม่วิตกกังวลอะไร เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง”
แต่การใช้คำนี้ ผมคิดว่าบางทีก็ต้องระวังนะครับ เพราะใช้แบบไม่เข้าใจจริง ใช้แบบพร่ำเพรื่อ ก็จะกลายเป็นการเฉื่อยชา ปล่อยปละละเลย และสร้างความประมารขึ้นมาได้ ถ้าเราคอยแต่คิดว่าเป็นเช่นนั้นไปซะหมด โดยเราไม่ได้พยายามทำอะไรเลย (บางคนชอบพูดว่า “ปลงล่ะ” ) เช่น หากญาติของผู้ป่วยข้างต้นคิดว่าปลงล่ะ พวกเขาก็เป็นไปตามกรรมนั่นแหละ แบบนี้เธอก็จะไม่ดูแลใส่ใจญาติของเธออีกเลย เพราะฉะนั้น “ปลงล่ะ” คงไม่ใช่ “ตถตา” นะครับ
หากเราลองนำยาดับทุกข์นี้ไปทดลองใช้ดูให้ถูกต้อง ตามเวลาและเหตุการณ์ อาการทุกข์ของเราคงจะบรรเทาลงได้ไม่มาก็น้อยนะครับ
นพ.ชวโรจน์ เกียรติกำพล
แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
(Some images used under license from Shutterstock.com.)