Haijai.com


ยาบรรเทาโกรธ (ความโกรธ)


 
เปิดอ่าน 3928

ยาบรรเทาโกรธ (ความโกรธ)

 

 

ผมมีโอกาสรักษาผู้ป่วยรายหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิง อายุประมาณ 24 ปี เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยปัญหาหลอดอาหารตีบ เนื่องจากมีพังผืดในหลอดอาหาร ทำให้รับประทานอาหารเองไม่ได้ ต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไข

 

 

ผมเองได้รับปรึกษาไปช่วยดูเรื่องการให้สารน้ำ อาหาร และแก้ไขความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย อันเนื่องมาจากการรับประทานอาหารได้น้อยอยู่เป็นเวลานาน ถามประวัติดูก็ทราบว่า เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน เธอมีปัญหาโต้เถียงกับแฟนอย่างรุนแรง ด้วยสาเหตุอะไรไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่เธอเล่าให้ฟังพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาก็คือ วันนั้นเธอรู้สึกโกรธแฟนของเธอมาก ในตอนนั้นเธอพยายามหาทางแสดงออกถึงอารมณ์โกรธ จึงวิ่งเข้าไปในห้องน้ำหลังบ้าน หยิบขวดน้ำยาล้างห้องน้ำดื่มให้แฟนเห็นต่อหน้า เธอเล่าว่าตอนนั้นไม่รู้สึกตัวเลย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่น้ำยาเข้ามาอยู่ในปากแล้ว จากวันนั้นจนวันนี้ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย จากทนายความสาวอายุน้อยผู้เป็นความหวังของครอบครัว กลายเป็นผู้ป่วยอาการหนัก ต้องนอนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือ ระโยงรยางค์ไม่อาจขยับตัวได้มากนัก ที่สำคัญเธอทำไม่ได้แม้แต่จะรับประทานอาหารด้วยตัวเอง หากถามผมว่าอะไรที่ทำให้หญิงสาวที่จากคำบอกเล่าของญาติ ว่าเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดี ยิ้มง่าย กลายเป็นเช่นนี้ คงตอบได้คำเดียวละครับว่า นั่นคือ “ความโกรธ”

 

 

ความโกรธ เป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ทุกคนในการตอบสนอง โดยธรรมชาติต่อการถูกคุกคาม ล่วงเกิน ทำให้ผิดหวัง หรือไม่พอใจ ความโกรธอาจทำให้เราระบายอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่พึงพอใจออกมา เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหรือก้าวต่อไปได้ แต่มักไม่ใช่ทางแก้หรือก้าวต่อไปได้ เพราะมันมักจะส่งผลกระทบในเชิงลบทั้งต่อตัวเราเอง และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอื่นๆ อีกมากมาย ดังตัวอย่างที่ผมแสดงให้เห็นข้างต้น

 

 

อารมณ์โกรธเชื่อมโยงกับการแสดงออกของร่างกายเราโดยตรง ลองสังเกตง่ายๆ นะครับ เมื่อใดที่เราโกรธจะเกิดการกระตุ้นระบบประสาท มีการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจ เราจะรู้สึกใจสั่น ความดันโลหิตจะพุ่งสูงขึ้น โดยอัตโนมัติ กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะตึงตัว เราจะรู้สึกตึงเครียดเหงื่อออกมาก นอกจากนี้การกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol hormone) ในร่างกายจะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดพุ่งสูงขึ้นอีกด้วย งานวิจัยหลายชิ้นนี่กล่าวว่า คนที่มีความโกรธอยู่บ่อยๆ เพิ่มโอกาสการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด ปวดศีรษะไมเกรน โรคกระเพาะอาหาร เพิ่มสารก่อมะเร็งในร่างกาย เป็นต้น ทุกๆ อย่างไม่ดีทั้งนั้นนะครับ

 

 

แต่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ตราบใดที่เรายังคงพบเจอและทำงานร่วมกับผู้อื่นเสมอๆ คงห้ามตัวเราไม่ให้กระทบกับสิ่งที่ไม่พึงพอใจ และเกิดความโกรธขึ้นมาไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงของชีวิตเรา คงไม่อาจหลบหนีออกไปพักหรือปลีกวิเวกได้ตลอดเวลา

 

 

ใช่ครับ เราหลบหลีกสิ่งกระทบเชิงลบเหล่านั้นไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่โกรธและเรียนรู้จากมันได้ แล้วอะไรที่จะมาช่วยเราให้ทำเช่นนั้นได้ หรือว่าหมอผลิตยาระงับ DNA แห่งความโกรธขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว ?

 

 

ยานั้นคงไม่มีอยู่จริงหรอกครับ และผมคิดว่าคงผลิตไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะอารมณ์ของคนเราซับซ้อนเกินกว่าจะสร้างยามาควบคุมอารมณ์นั้นๆ โดยตรงได้ นี่ไม่นับรวมยานอนหลับ (หนีปัญหา) หรือยาคลายเครียด (ชั่วคราว) นะครับ แต่มียาอยู่ชนิดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบมานานนับพันปี ยาดีประสิทธิภาพมากๆ ใช้แล้วไม่เคยดื้อยา ยิ่งใช้ยิ่งดีกับตัวเรา และใช้ได้ดีเสมอกับความโกรธ ยาคลายความโกรธที่ว่านี้คือ ธรรมอันมีอุปการะมาก นั่นก็ คือ “สติ” ครับ

 

 

สติ หมายถึง ความระลึกได้ก่อนจะทำ พูด หรือ คิด คือ อาการของจิตทีนึกขึ้นได้ว่าจะทำ จะพูดอย่างไร จึงจะถูกต้อง มีหน้าที่กระตุ้นเตือนคนเราให้ทำ พูด หรือ คิดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่หลงลืมตัว

 

 

ทำอย่างไรให้สติเข้มแข็ง

 

จะว่าไปแล้ว เมื่อเราอยากจะฝึกฝนความมีสติของเรา ก็จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเอง เจอปัญหาหรือสิ่งที่มากระทบทำให้รู้สึกโกรธ ไม่พอใจดูบ้างนะครับ เพราะจะได้ฝึกฝนกันอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า จิตของมนุษย์ทุกๆ คนนั้น มีความสว่าง สดใส และบริสุทธิ์อยู่แต่เดิมกันทุกคน ท่านเรียกว่า “จิตเดิมแท้”

 

 

จิตเดิมแท้นี้หนึ่งเคยมีสภาพที่บริสุทธิ์  สะอาด ภายหลังเมื่อคนเราถูกสภาพแวดล้อมยั่วยวนให้เกิดกิเลส จิตเดิมแท้นี้ ก็ค่อยๆ เศร้าหมองลง เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถขจัดสิ่งสกปรกที่หุ้มห่อจิตเดิมแท้ออกได้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราก็จะเห็นว่าจิตเดิมแท้จะส่องประกายสดใสออกมาอีกครั้ง เมื่อจิตเดิมแท้ส่องประกายออกมาได้ ชีวิตของคนผู้นั้นก็จะหมดทุกข์ เป็นชีวิตที่สงบสุข สว่างสดใส

 

 

จะเปรียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่มีความสว่างสดใสอยู่ตลอด การที่บางทีมืดลงนั้น อาจเป็นเพราะมีเมฆมาบดบังแสงนั้นลงชั่วคราว (ซึ่งก็เหมือนกิเลสต่างๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจของเรา และเราก็หลงไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น) หรือบางทีโลกเองก็หมุนหันหลังกลับให้ดวงอาทิตย์ ทำให้บางมุมของโลกนั้นมืดลงชั่วขณะ (โลกก็ทำตัวคล้ายเราเวลาขาดสติ) แต่ดวงอาทิตย์นั้นไม่เคยส่องแสงน้อยลงหรือมืดดับไปเลย เพียงแต่เรามองไม่เห็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

 

 

การที่เราเกิดความโกรธขึ้นมา มีสาเหตุเพียงอย่างเดียวครับ นั่นก็เพราะเราตั้งจิตไว้ผิดที่ ไม่ได้เกิดเพราะผู้อื่น ไม่ได้เกิดเพราะโชคชะตา หรือไม่ได้มีสิ่งอื่นใดดลบันดาล การที่จะตั้งจิตให้ถูกต้องนั้น คือ ตั้งจิตไว้บนฐานรู้ นั่นก็คือ สติ นั่นเอง ฉะนั้น เราลองมาฝึกใช้ยาดีมีประสิทธิภาพชนิดนี้กันดูเถอะครับ ความโกรธจะได้ไม่สามารถมาทำอะไรตัวเราและคนรอบตัวได้อีก

 

 

ผมได้เตือนให้ผู้ป่วยรายนี้ใช้ยาบรรเทาโกรธนี้ดู เพราะดูแล้วว่าอาการโกรธตัวเองของเธอยังไม่ค่อยดีขึ้นนัก วันนี้ได้พบเธออีกครั้งที่ห้องตรวจ เห็นรอยยิ้มของเธอเป็นครั้งแรก ผมรับรู้ได้เลยครับว่า ยาบรรเทาโกรธออกฤทธิ์ได้ดี และมีประสิทธิภาพแล้วล่ะครับ

 

 

นพ.ชวโรจน์ เกียรติกำพล

แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป

(Some images used under license from Shutterstock.com.)