
© 2017 Copyright - Haijai.com
The Air Out There อากาศแย่ๆ ลูกแม่อยู่อย่างไร
ศักยภาพของเจ้าตัวน้อยแต่ละคนนั้น ไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม การเลี้ยงดู เท่านั้น แต่สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวลูกก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันค่ะ เพราะหากสิ่งแวดล้อมดี เอื้อต่อการเรียนรู้ ก็จะช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการของลูกพัฒนาไปได้อย่างเต็มที่ แต่จะว่าไป ทุกวันนี้ โดยเฉพาะในเมืองหลวง จะหาสถานที่ที่สิ่งแวดล้อมสะอาดบริสุทธิ์จริงนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะ
เรื่องสิ่งแวดล้อมที่เราควรให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องของมลภาวะค่ะ มีรายงานที่พบว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ไปจนอาจถึงขั้นเกิดภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือที่เรียกกันว่าแอลดี หรือ Learning Disabilities อีกด้วย นอกไปจากนี้สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเพราะสารตะกั่ว ยังอาจส่งผลถึงพัฒนาการทางสมองของเจ้าตัวน้อยด้วย
อากาศเป็นพิษ ชีวิตเด็กแย่
แน่นอนว่าเมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้ย่อมได้รับผลกระทบค่ะ แต่รู้หรือไม่ว่าเด็กๆ จะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ใหญ่ค่ะ ทั้งนี้เป็นเพราะร่างกายของเจ้าตัวน้อยจะสูดอากาศเข้าไปมากกว่าผู้ใหญ่นั้นเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณหนูๆ ออกกำลังกายจนถึงขั้นเหนื่อยสุดๆ เช่นระหว่างการแข่งขันฟุตบอล เจ้าตัวน้อยจะสูดอากาศเข้าไปมากกว่าผู้ใหญ่ถึงประมาณ 20-50% และยิ่งสูดอากาศเยอะ ถ้าอากาศเป็นพิษก็เท่ากับว่าเด็กๆ ได้รับสารพิษเข้าไปมากกว่าด้วย
นอกไปจากนี้ ร่างกายของเด็กก็ยังตอบสนองต่อการได้รับสารพิษต่างไป นั่นคือ เมื่อผู้ใหญ่ได้รับอากาศพิษ ร่างกายจะตอบสนองโดยมีอาการไอ แน่นหน้าอก เจ็บคอ หรือปวดหัว แต่สำหรับเจ้าตัวน้อยแล้ว อาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายของเด็กๆ จะไม่ไวต่ออากาศพิษเท่าผู้ใหญ่ เพราะมีการวิจัยหลายชิ้น พบว่าปอดของเจ้าตัวน้อยก็ถูกทำลาย แม้ว่าจะไม่มีอาการไอหรือความไม่สบายเนื้อสบายตัวเลยก็ตาม สาเหตุอีกประการหนึ่งที่เด็กๆ ได้รับผลกระทบจากอากาศเสียมากกว่าผู้ใหญ่ก็คือ เด็กๆ มันใช้เวลาอยู่กลางแจ้งมากกว่า โดยเฉพาะคุณหนูๆ วัยเรียน ที่โรงเรียนตั้งอยู่ใจกลางเมืองท่ามกลางถนนสายหลัก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีอากาศเสียมากกว่าบริเวณอื่นๆ
ดูแลให้ปลอดภัย ภายนอกบ้าน
เมื่อรู้แล้วว่าอากาศภายนอก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ อากาศมักจะไม่บริสุทธิ์ แต่ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนทางที่น่าจะดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อยเมื่ออยู่นอกบ้านคือ ป้องกันลูกจากอากาศเป็นพิษให้ได้มากที่สุดค่ะ
• เมื่อคุณพาลูกออกไปนอกบ้าน โดยเฉพาะบริเวณริมถนนที่การจราจรคับคั่ง หรือในซอยแคบที่มีผู้คนแออัด ควรให้ลูกพกผ้าเช็ดหน้า เผื่อว่าพบควันพิษ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ลูกจะได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
• หากจำเป็นต้องนั่งรถโดยสารประจำทาง พยายามอย่าให้ลูกนั่งติดหน้าต่าง
• ขณะเติมน้ำมันรถ ไม่ควรเปิดกระจกทิ้งไว้
• เมื่ออยู่บ้าน ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเป็นประจำทุกๆ ห้อง
บ้านนี้ (บางทีก็) มีพิษ
แต่ใครว่าอากาศพิษจะมีแต่นอกบ้านเท่านั้น เพราะในบ้านเราบางทีก็มีสิ่งแปลกปลอมไม่พึงประสงค์ลอยว่อนอยู่ในอากาศด้วยเหมือนกันค่ะ หากว่าคุณไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดีละก็ เจ้าตัวน้อยก็มีแนวโน้มจะป่วยได้ไม่น้อยเลยค่ะ
มีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่ามลภาวะในบ้านอาจสูงกว่าภายนอกได้ถึง 2-5 เท่า ทั้งนี้เนื่องมาจากสารตกค้างของบ้านที่เพิ่งซื้อสร้างเสร็จใหม่ๆ หรือควันไฟจากการทำอาหารต่างๆ นอกไปจากนี้ยังรวมถึงน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่ใช้ในครัวเรือน ซึ่งเป็นสารพิษใกล้ตัวที่คุณพ่อคุณแม่อาจคาดไม่ถึงอีกด้วยค่ะ ซึ่งสิ่งที่ก่อให้สิ่งแวดล้อมภายในบ้านเป็นพิษ ได้แก่
• น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ มักจะมีสารเคมีหลายชนิดผสมอยู่ แต่จะมีเป็นจำนวนน้อย ซึ่งไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรง หากเจือปนในอาหารและกินเข้าไป จะทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ควรให้กินน้ำหรือนม เพื่อล้างพิษ ในกรณีที่ได้รับสารเคมีเข้าไปเป็นจำนวนมาก หรือกินน้ำยาเข้มข้นจะทำอันตรายต่อทางเดินอาหาร มีภาวะเลือดเป็นกรด ซึมหรือหมดสติ ปอดอักเสบจากการสำลัก และตับวายหรือไตวาย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มี phenol เป็นตัวผสมหลัก
• ยาฆ่าหนู ส่วนใหญ่มักจะมี warfarin ซึ่งเป็นยาต้านการหยุดของเลือดและ alphachloralose ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ chloral เป็นส่วนประกอบ พวกนี้ทำให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก หากเจ้าตัวน้อยกินเข้าไปต้องสังเกตอาการ ประมาณ 4 ชั่วโมง
• น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างจานเป็นด่างเข้มข้น ถ้ากินเข้าไปจะทำให้เกิดการกัดกร่อนรุนแรง ถึงแม้จะเป็นอยู่แค่ริมฝีปาก ในช่องปาก และลิ้น ถ้าพบจะต้องล้างน้ำยาที่เหลือออกจากผิวหนังและในปากให้หมด แล้วให้กินน้ำมากๆ
• น้ำมันหอมระเหย จะมีส่วนผสมของ essential oils เมื่อกินเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการอาเจียน คลื่นไส้และท้องเสีย ผลต่อร่างกายทำให้เกิดการกดระบบประสาท ถ้าเข้าสู่ร่างกายทางจมูกจะทำให้เกิดการกดระบบหายใจและหยุดหายใจ ในเด็กที่ไม่มีอาการจะต้องดูอาการประมาณ 4 ชั่วโมง ควรให้ดื่มน้ำ รักษาตามอาการ นอกจากนี้สารกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดแผลที่เยื่อบุตาดำได้
(Some images used under license from Shutterstock.com.)