© 2017 Copyright - Haijai.com
5 วิธีปรับธาตุป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
สมัยก่อนปู่ย่าตายายของเราป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือโรค NCDs เช่น ความดันโลหิตสูง อ้วน เบาหวาน กันน้อย ส่วนใหญ่จะเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคระบาด เช่น โรคอหิวาตกโรคหรือโรคห่า ไข้ทรพิษ หรือฝีดาษ กาฬโรค มากกว่า
มาถึงสมัยนี้ ระบบการแพทย์พัฒนามากขึ้น จึงสามารถรักษาโรคระบาดได้ทันท่วงที ทำให้อัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคระบาดลดลงอย่างมหาศาล อีกทั้งเทคโลโนยีด้านการแพทย์ก็ล้ำหน้าไปไกล จึงช่วยให้มนุษย์ชาติมีอายุยืนยาวขึ้น
แต่ในทางตรงข้ามกลับพบว่า คนในยุคปัจจุบันป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง ที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า โรคความดันโลหิตสูงเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกเกือบ 8 ล้านคนมีอายุสั้นลง
สาเหตุน่าจะมาจากสภาพสังคมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากอดีตมาก เช่น กินอาหารขยะเพื่อแลกกับความสะดวกรวดเร็ว เคลื่อนไหวและขยับตัวน้อยเกิดความเครียดจากการรับข้อมูลผ่านทางโลกออนไลน์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิต
ถ้าศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง จะพบบันทึกทั้งทางการแพทย์แผนจีนและการแพทย์อายุรเวทของอินเดียว่า มีการใช้วิธีจับชีพจรเพื่อประเมินระบบการไหลเวียนเลือด รวมถึงสามารถวิเคราะห์โรคและอาการเจ็บป่วยจากพลัง และการเคลื่อนไหวของธาตุต่างๆ ในร่างกาย
สมัยก่อนโรคที่มีความใกล้เคียงกับความดันโลหิตสูงมากที่สุด คือ โรคชีพจรแข็ง (Hard Pulse) รักษาโดยการให้ปลิงช่วยดูดเลือด หรือเจาะเลือดออกจากร่างกาย เพื่อรักษาระดับแรงดันเลือด
กระทั่งมีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดปรอท (Mercury Sphygmomanometer) ที่ต้องใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ (Stethoscope) เป็นตัวช่วย เพื่อเช็กระดับความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (เลขตัวบน) และคลายตัว (เลขตัวล่าง) โดยในคนปกติควรรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในช่วงระดับ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ไม่ควรมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท หากระดับความดันโลหิตทั้งตัวบนและตัวล่างมีค่าสูงกว่านี้ แสดงว่าคุณกำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูง
วารสารสมาคมแพทย์ประเทสสหรัฐอเมริการะบุว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง ควรรักษาระดับความดันโลหิตตัวบนให้มีค่าต่ำกว่า 130 มิลลิเมตรปรอท
เมื่อไปโรงพยาบาล เราจึงต้องได้รับการวัดระดับบีพี (BP) หรือความดันโลหิต ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณชีพที่ต้องประเมิน หรือตรวจก่อนพบแพทย์ นอกเหนือจากอัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิของร่างกาย
สำหรับในบันทึกทางการแพทย์แผนไทย ไม่พบคำว่าโรคความดันโลหิตสูง แต่เชื่อว่าความดันโลหิตสูงเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 คือ ความร้อนจากธาตุไฟ พัดพาธาตุลมและธาตุน้ำ (โลหิต) ส่งผลให้แรงดันเลือดผิดปกติ ถ้าหากปล่อยไว้นานเข้า จะกลายเป็นลมอัมพฤกษ์-อัมพาต ที่ยากต่อการรักษาได้
โดยเฉพาะคนที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุลม – ธาตุไฟ คือ เกิดในช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม และเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน จำเป็นต้องระวังเรื่องอาหารการกินและพฤติกรรมให้มาก ควรกินอาหารรสเย็น รสสุขุม ไม่ร้อนจนเกินไป เช่น แตงโม ฟัก ตำลึง เทียนดำ เครื่องเทศที่ไม่มีรสร้อน และสามารถกินยาลม ยาหอมได้
คนที่มีอายุย่างเข้าปัจฉิมวัยหรือมีอายุ 32 ปีขึ้นไป เป็นช่วงที่ธาตุลมกำเริบ มักพบอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคลม โรคความดันโลหิตสูง แนะนำว่า ไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดร้อน อาหารรสเค็มจัดหรือมีโซเดียมสูงในมื้อเย็น เพราะจะทำให้ธาตุลมผิดปกติ ควรกินอาหารรสสุขุม
นอกจากนี้ในทางการแพทย์แผนไทย ยังพบมูลเหตุการเกิดโรคความดันโลหิตสูงว่า มี 5 ข้อ ได้แก่
1.กินอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย ดังนั้น ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือพลังงานที่รับเข้าต้องน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญได้
2.อยู่กับที่นานเกินไป โดยไม่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ฉะนั้นควรขยับร่างกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายทุกวันอย่างต่ำวันละ 30 นาที หรือควรฝึกท่าฤาษีดัดตน
3.อยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรืออากาศร้อนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ควรดื่มน้ำใบเตย น้ำฟัก น้ำยาอุทัยเย็นๆ
4.ทำงานมากเกินกำลังของตัวเองการได้อยู่นิ่งๆ หรือนั่งสมาธิจะช่วยให้สมองได้หยุดพัก
5.มีอารมณ์วิตกกังวลและความเครียดมากเกินไป ควรหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ เช่น การอบสมุนไพร หรือสูดกลิ่นน้ำมันหอมระเหย เช่น มินต์ ลาเวนเดอร์ อบเชย ก็จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
อย่าลืมว่าทั้งหมดที่อธิบายมานี้คือ วิธีดูแลสุขภาพตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว
หากต้องการดูแลและรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย ควรปรึกษาแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลก่อน จะดีกว่าไปหาซื้อสมุนไพรหรือยาต้มมากินเอง เพราะยาหรือสมุนไพรบางชนิดนั้นมีข้อควรระวัง และอาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนนะครับ
พทป.ชารีฟ หลีอรัญ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)