Haijai.com


ลดอ้วนด้วยสมุนไพรจีน


 
เปิดอ่าน 9473

ลดอ้วนด้วยสมุนไพรจีน

 

 

ทราบหรือไม่ว่าจุดเริ่มต้นของโรคภัยส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณน้ำหนักตัวที่สูงเกินมาตรฐาน โดยเฉลี่ยเกิดเป็นการสะสมโรคในระยะยาวแบบผ่อนส่ง ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วนลงพุงตลอดจนภาวะข้อเสื่อม เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คอยแต่จะบั่นทอนสุขภาพให้เสื่อมสภาพลง ซึ่งนอกจากปัจจัยหลักอย่างการรับประทานที่ส่งผลให้ร่างกายบวมจนน่าอึดอัดแล้ว ยังส่งผลให้อวัยวะภายในหรือระบบต่างๆ สูญเสียความสมดุล และเสื่อมประสิทธิภาพลงได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน

 

 

อ้วน เพราะม้ามชื้น

 

ความอ้วนจัดเป็นโรคชนิดหนึ่ง หากระบบเผาผลาญในร่างกายไม่ดี อาจส่งผลให้ม้ามและอวัยวะส่วนอื่น เช่น ตับ ไต อ่อนแอลง หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีน “ม้าม” เป็นธาตุดินของร่างกาย จัดเป็นอวัยวะสำคัญอันดับต้นๆ และเป็นอวัยวะที่ส่งผลให้คนเราอ้วนขึ้นได้เรียกว่า “ม้ามชื้น” ผลคือ มีไขมัน คอเลสเตอรอล เสมหะ ซีสต์ เนื้องอก สะสมอยู่ข้างใน รวมเรียกว่า “ถาน หรือ เสมหะ” เกิดจากไฟ หรือธาตุหยางในกระเพาะอาหารบกพร่อง

 

 

สาเหตุที่หยางในกระเพาะอาหารบกพร่องเกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ ดังนี้

 

1.พฤติกรรมรับประทานเย็น โดยเฉพาะอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ไอศกรีม น้ำแข็ง น้ำเย็น การรับประทานของหวานของมันเป็นประจำ รวมถึงการถูกความเย็นกระทบบริเวณท้อง ทำให้ระบบย่อย อาหารทำงานบกพร่อง จนอาจกระทบถึงระบบม้าม และในเมื่อกระเพาะอาหารพร่อง จึงไม่มีแรงขับดันของเสียลงสู่ลำไส้ เกิดเป็นของเสียตกค้าง แปรสภาพกลายเป็นเสมหะ เมื่อเสมหะสะสมมากขึ้นก็เริ่มเคลื่อนไหวไปอุดตันในอวัยวะต่างๆ กลายเป็นโรคต่างๆ มากมายตามมาได้

 

 

2.พฤติกรรมรับประทานเยอะ การรับประทานอาหารที่มากเกินไป กล่าวคือ การรับประทานอาหารที่ย่อยช้า หรือต้องใช้ระยะเวลาในการย่อยนาน การเคี้ยวไม่ละเอียด ตลอดจนภาวะเครียดที่ส่งผลให้คนไข้รับประทานอาหารไม่ลง หรือ เบื่ออาหารเหล่านี้จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักมากขึ้น กลายเป็นการส่งผลให้ระบบเผาผลาญอ่อนแอ นอกจากนี้กรรมพันธุ์ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้บางคนมีลักษณะอ้วนแต่กำเนิด ซึ่งความอ้วนจากปัจจัยต่างๆ ยังสามารถบรรเทาให้ดีขึ้นได้ด้วยสมุนไพรจีน

 

 

พิชิตความอ้วนด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน

 

วิธีรักษาโรคอ้วนตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีน เบื้องต้นเริ่มจากการตรวจสุขภาพร่างกายด้วยวิธีตรวจสีลิ้น เพื่อดูว่าม้ามอ่อนแอหรือม้ามพร่องหรือไม่ หากพบว่าลิ้นมีฝ้าหนาแสดงถึงอาการม้ามชื้น ถ้ามีฝ้าหนาสีขาวแสดงถึงอาการม้ามชื้นและเย็น แต่ถ้ามีฝ้าหนาสีเหลืองจะแสดงถึงอาการม้ามชื้นและร้อน

 

 

จากนั้นแพทย์จะรักษาตามอาการหนัก เบา ขึ้นอยู่กับความอ้วน หรืออาการของแต่ละบุคคลที่ไม่เท่ากัน หากคนไข้อยู่ในสถานะที่น้ำหนักเยอะ หรืออ้วนมาก ทั้งยังมีการอุดตันของไขมันร่วมด้วย ในการแพทย์จีนจะใช้วิธีฝังเข็มรักษาควบคู่กับยาสมุนไพร เพื่อปรับความสมดุล ลดจำนวนไขมัน เสริมให้ม้ามแข็งแรง เป็นต้น

 

 

สมุนไพรจีนที่นำมาใช้รักษาความอ้วนมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ใช้เป็นการเสริมฤทธิ์เพื่อให้ตัวยาแต่ละชนิดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นประกอบด้วย

 

1.ซานจา (Fructus Crataegi) ช่วยย่อยขจัดอาหารที่ตกค้าง กำจัดสิ่งสกปรกในช่องท้อง

 

 

2.ปั๊วแห่ (Rhizoma Pinelliae) ช่วยขับชื้นละลายเสมหะ กดชี่ย้อนปรับกระเพาะอาหารให้สมดุล ระงับอาเจียน สลายเสมหะก้อน

 

 

3.ก๊วกเหม่งจี้ (Cassia Seeds) เพิ่มความชุ่มชื้นในลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย ล้างไขมันในตับ บำรุงสายตา

 

 

4.หวยหมั่วยั้ง (Fructus Cannabis) ให้ความชุ่มชื้นแก่ลำไส้ ระบายท้อง

 

 

5.โสม (Ginseng) บำรุงหยวนชี่ บำรุงม้าม ใช้รักษาชี่ม้ามพร่องอ่อนแอ

 

 

6.เฉินผี (Pericarpium Citri Reticulatae) ปรับชี่หมุนเวียนบำรุงม้าม ขับชื้นละลายเสมหะ

 

 

เมื่อรวมสมุนไพรทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ทำให้มีสรรพคุณแบบเสริมประสิทธิภาพระบบการย่อย ระบบเผาพลาญ ขจัดของเสียที่คั่งค้าง ลดคอเลสเตอรอล ช่วยระบบขับถ่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขับพิษ เสมหะ หรือของเสียออกจากร่างกาย หรือเพื่อลดน้ำหนัก โดยไม่ทำให้คนไข้รู้สึกอ่อนเพลียแต่อย่างใด

 

 

ซึ่งการจัดยาในแต่ละครั้งในคนไข้แต่ละคน จะเป็นการจัดยาแบบเฉพาะบุคคลไป แพทย์จะจัดยาไม่เหมือนกันทุกคน เนื่องจากคนไข้บางคนมาพบแพทย์ด้วยอาการกรดไหลย้อน อาการอาหารไม่ย่อย หรือเบื่ออาหาร ดังนั้น วิธีรักษาจึงเป็นไปตามสาเหตุของปัญหาคนไข้แต่ละคนเป็นสำคัญ

 

 

แพทย์จึงต้องทำการตรวจร่างกายคนไข้ก่อนจะทำการจ่ายยาให้เสมอ ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแบบตรงจุด ทำให้การรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีสมุนไพรจีนสัมฤทธิ์ผล และไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ตามมา รับประทานติดต่อกัน 1 สัปดาห์ น้ำหนักลดลง 1 กิโลกรัม โดยประมาณ

 

 

แพทย์จะติดตามอาการคนไข้อยู่ตลอด (Follow Up) หากพบว่าคนไข้มีการตอบสนองต่อการรักษา แพทย์อาจให้ยาสมุนไพรจีนชุดใหม่ ตามความเหมาะสมของร่างกายคนไข้ ณ ขณะนั้น

 

 

ข้อจำกัดทางการรักษา

 

เนื่องจากส่วนประกอบทางการรักษาที่มีฤทธิ์ในการช่วยบำรุงม้าม ทั้งยังเป็นการช่วยขจัดสารพิษ หรือสิ่งตกค้างออกมาในรูปแบบของเสีย (อุจจาระ) ทำให้ระบบภายในสามารถทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมท้องเสียง่าย ท้องเสียบ่อย อาจเป็นจุดอ่อนของการรักษาด้วยวิธีนี้

 

 

เพราะฤทธิ์ของยาจะเข้าไปส่งเสริมอาการท้องเสียที่อยู่ได้ง่าย และบ่อยขึ้น อีกทั้งกรณีที่คนไข้บางรายไม่สามารถดื่มยาสมุนไพรจีนได้ แพทย์ยังมีการเปลี่ยนให้สมุนไพรดังกล่าวเป็นแบบแคปซูล (Capsule) เพื่อให้ง่ายต่อการบริโภคของคนไข้ โดยยังคงสรรพคุณทางยาไว้เช่นเดิม เพิ่มเติมคือระยะเวลาของการเห็นผล

 

 

แน่นอนว่าการทานยาสมุนไพรจีนในรูปแบบแคปซูล จะยังสัมฤทธิ์ผลไม่แตกต่างจากวิธีดื่มยาสมุนไพรจีน นอกจากนี้สมุนไพรจีนยังไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือภาวะแทรกซ้อนใดๆ ตามมาในภายหลัง เนื่องจากสรรพคุณทางยาที่มาจากธรรมชาติเป็นสำคัญ ไม่ได้ผ่านกระบวนการทางเคมีแต่อย่างใด ฉะนั้นการรักษาจึงเป็นการใช้ธรรมชาติเข้ามาบำบัดอย่างแท้จริง

 

 

ทุกการรักษามักมีการออกกำลังกายร่วมด้วยเสมอ เช่นเดียวกับการรักษาด้วยสมุนไพรจีนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ยังต้องอาศัยวิธีขยับร่างกายของคนไข้เข้ามาประกอบ เพราะหากมองย้อนกลับไปถึงต้นตอของปัญหา เราจะพบว่าปัจจัยของโรคอ้วนอีกอย่างหนึ่งคือ การที่เราไม่ยอมออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อยแต่รับประทานมาก

 

 

ฉะนั้น การเลือกรับประทานให้เหมาะสม ถูกเวลาและไม่ตามใจปาก ร่วมกับการหมั่นออกกำลังกาย จะช่วยให้ร่างกายงดรับยาลงได้ในระดับหนึ่ง แม้จะดูเป็นคำพ่วงแบบเดิมที่ใครใคร่นิยมแนะนำ แต่เชื่อเถอะว่า น้อยคนนักที่พร้อมจะออกกำลังกายเมื่อมีเวลา น้อยคนมากที่จะหันมาใส่ใจสุขภาพทั้งที่ยังแข็งแรงดีอยู่

 

 

อาจารย์หยาง เผยเซิน

ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์หยาง

(Some images used under license from Shutterstock.com.)