Haijai.com


วิตามินเสริมในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร


 
เปิดอ่าน 5031

วิตามินเสริมจำเป็นต่อ “เด็ก” แค่ไหน

 

 

คุณพ่อคุณแม่ทุกยุคสมัยล้วนนิยมดูแลลูกน้อยอย่างประคับประคอง เพราะความรักกันเสมอ แต่ในสังคมยุคปัจจุบันที่มากล้นด้วยวิถีแห่งทางเลือกต่างๆ มากมาย จนอาจทำให้ความหวังดีที่มีต่อคุณลูกอย่างเอ่อล้น มองเห็นความเสี่ยงเป็นความสุขเสียไม่ได้ เรากำลังพูดถึงการบำรุงส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยด้วยวิตามินเสริม ที่ผู้ใหญ่หลายท่านอาจเข้าใจว่าเป็นการเสริมสิ่งที่มีอยู่ในร่างกายให้เพิ่มพูนมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ความจำเป็นสำหรับเด็กแต่อย่างใด หากยังเจริญเติบโตอย่างสมวัย วิตามินเสริมก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น

 

 

วิตามินเสริมในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร?

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า วิตามินกับแร่ธาตุนั้นแตกต่างกัน ตัวอย่างของวิตามิน อาทิเช่น วิตามิน A, B1, B6, B12, C, D, E, K ส่วนแร่ธาตุ ได้แก่ เหล็ก สังกะสี แคลเซียม และโฟลิก เป็นต้น โดยทั้งสองชนิดนี้จะทำงานร่วมกัน หากเกิดภาวะบกพร่องหรือขาดสารอาหารประเภทนี้มักเป็นการขาดวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ใช่เพียงการขาดชนิดใดชนิดหนึ่ง สำหรับวิตามินเสริมในเด็กกับผู้ใหญ่มีข้อแตกต่างกันตรงปริมาณการใช้เพียงเท่านั้น

 

 

เนื่องจากเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก จึงมีความแตกต่างอย่างชัดเจนทั้งในด้านกายวิภาคศาสตร์ สรีระวิทยา และการทำงานของร่างกาย เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบน้ำเหลือง ระบบเผาผลาญ ตลอดจนพลังงานที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นความต้องการทางสารอาหาร ยา แร่ธาตุ และวิตามิน จึงมีความแตกต่างกันในด้านของปริมาณ

 

 

แต่หากเด็กสามารถรับประทานอาหารได้ครบห้าหมู่ หรือรับประทานอาหารได้ทุกอย่างแบบสลับกันไปมา มีความหลากหลาย เด็กก็จะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน โดยที่ไม่จำเป็นต้องทานวิตามินเสริมเพิ่มเติมแต่อย่างใด

 

 

ความจำเป็นของวิตามินเสริมในเด็ก

 

โดยปกติแล้วการให้วิตามินเสริมของแพทย์จะพิจารณาในกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความผิดปกติของกระบวนการสร้างและสลาย (Metabolism) พบได้ตั้งแต่แรกเกิด และมักจะขาดวิตามินหลายตัว โรคตับเรื้อรังที่เกิดจากการขาดวิตามินเค หรือผู้ป่วยเด็กที่ผ่าตัดลำไส้อาจพบว่ามีการขาดวิตามินบี 12 และดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยลง

 

 

หรือการรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาที่ใช้ในการรักษาวัณโรคในเด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กขาดวิตามินบี 6 ได้ เป็นต้น แต่ในกรณีที่เด็กมีสุขภาพร่างกายปกติ การรับประทานวิตามินเสริมก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแต่อย่างใด เพราะนอกจากร่างกายจะขับวิตามินส่วนเกินออกมาในรูปแบบของปัสสาวะแล้ว การรับประทานวิตามินบางชนิดในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายและเกิดอาการข้างเคียงได้เช่นกัน

 

 

อีกทั้งจากข้อมูลในปี 2012 พบว่า ในประเทศไทยมีอัตราการเกิดโรคขาดสารอาหารน้อยลงในทุกๆ ปี โดยพบว่ามีเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี มีความชุกของการขาดสารอาหารเพียงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปี 1987 ที่พบร้อยละ 17 แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาความเป็นอยู่ของเด็กไทยทิศทางที่ดีขึ้น เช่น ด้านของการรับประทนอาหารที่จำเป็นและเพียงพอ

 

 

ดังนั้น การรับประทานวิตามินเสริมจึงขึ้นอยู่กับสุขภาพและความจำเป็นของร่างกายเด็กแต่ละคนเป็นสำคัญ ทั้งยังต้องขึ้นอยู่กับความเห็นแพทย์ร่วมด้วย ซึ่งบางครั้งแพทย์จะถูกพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กขอให้สั่งวิตามิน และแร่ธาตุให้ลูกโดยไม่จำเป็น แพทย์จึงควรตระหนักเสมอว่า วิตามินและแร่ธาตุเหล่านั้นมีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติอยู่แล้ว

 

 

เด็กแต่ละช่วงวัยต้องการวิตามินอะไรบ้าง

 

ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น การที่แพทย์จะเริ่มให้วิตามินกับเด็ก แพทย์ต้องประเมินภาวะทางโภชนาการของทารกและเด็กก่อน โดยการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย BMI (Body mass index) โดยเอาน้ำหนัก (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หายด้วย ส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตรยกกำลังสอง) ได้ค่ามาตรฐาน ดังนี้

 

 

ค่าดัชนีมวลกายสำหรับเด็กอายุ 1-7 ปี

 

 ผอมเล็กน้อย < 14.5-13.0

 

 

 ผอมปานกลาง < 13.0-11.5

 

 

 ผอมรุนแรง < 11.5

 

 

 ปกติ 14.5-18.0

 

 

โดยเด็กที่มีเกณฑ์น้ำหนักเฉลี่ยต่ำกว่ามาตรฐาน แพทย์อาจให้วิตามินเสริมเพื่อใช้ในการบำรุงทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดแคลนไป รวมถึงกรณีเด็กที่ผอมอย่างรุนแรง (Severs Malnutrition) ที่มักจะมีการขาดวิตามินและแร่ธาตุเกือบทุกตัว แพทย์ก็จะทำการให้วิตามินเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพร่างกายแก่เด็กเช่นกัน

 

1.การรับประทานวิตามินเสริมในทารกแรกเกิดยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากเป็นนมแม่ และนมผงดัดแปลงสำหรับทารกนั้น มีวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอต่อความต้องการของทารกแรกเกิดจนถึง 6 เดือนอยู่แล้ว

 

 

เมื่อทารกอายุครบ 6 เดือนเป็นต้นไป ก็จะเริ่มรับประทานอาหารเสริมร่วมกับนมแม่ หรือนมผงดัดแปลงสำหรับทารกได้ ซึ่งควรมีวิตามินซี วิตามินดี โฟลิกแอซิด และธาตุเหล็ก ให้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงวัยนั้นด้วย รวมถึงการฝึกทักษะ เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน หรือการฝึกให้เด็กออกกำลังกายไปพร้อมๆ กัน ยังเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กในวัยนี้ได้เป็นอย่างดี

 

 

2.เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ในเด็กที่แข็งแรงดี หากมีการรับประทานอาหารได้ดี มักไม่ค่อยพบการขาดวิตามินและแร่ธาตุ แต่ยังเป็นกลุ่มที่มีโอกาสขาดธาตุเหล็กสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กจนถึงช่วงอายุ 10 ปี

 

 

โดยอาจตรวจพบว่ามีอาการซีด เหลือง เจาะเลือดพบจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าเกณฑ์ตามอายุนั้นๆ อาจพบได้ในเด็กที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ และชอบดื่มแต่นมเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เด็กกลุ่มนี้ควรเสริมวิตามินซี และธาตุเหล็ก ซึ่งวิตามินซีพบได้มากใน ฝรั่ง กีวี มะละกอสุก บร็อกโคลี่และผักโขม เป็นต้น ส่วนธาตุเหล็กพบได้ในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ และอาหารทะเล เช่น ตับหมู และอาจพบในพืช เช่น ผักกูด ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง

 

 

วิตามิน หรืออาหารเสริม ช่วยให้เด็กรับประทานอาหารได้มากขึ้นหรือไม่

 

การที่เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารมักเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่พบว่าเกิดจากการขาดวิตามินและแร่ธาตุเป็นหลัก หากแต่เกิดจากพฤติกรรมของเด็ก การเลี้ยงดูของพ่อแม่ การตามใจให้นมก่อนการรับประทานอาหาร ทำให้เด็กอิ่มและไม่อยากรับประทานข้าว รวมถึงรสชาติอาหารที่ไม่ถูกปาก ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างพฤติกรรมรับประทานอาหารยาก

 

 

ส่งผลให้เกิดอาการขาดวิตามินและแร่ธาตุตามมาได้ในที่สุด ซึ่งการขาดวิตามินและแร่ธาตุในบางกรณี เช่น การขาดธาตุเหล็กและสังกะสี จนทำให้เด็กมีอาการเบื่ออาหาร ลิ้นเลี่ยน การรับรสชาติที่ลิ้นทำงานได้ไม่ดี กลายเป็นรับประทานอาหารไม่อร่อย หากแพทย์ตรวจเลือดพบว่ามีอาการซีด และระดับสังกะสีในร่างกายต่ำ อาจมีการเสริมธาตุเหล็กและสังกะสีให้ในรูปแบบของยา พร้อมวัดระดับให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

 

 

กรณีเช่นนี้อาจทำให้อาการเบื่ออาหารจางหายไปได้ โดยเฉพาะการฝึกให้เด็กปรับเปลี่ยนวินัยการรับประทานจากพ่อแม่เป็นสำคัญ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอของร่างกาย การรับประทานให้หลากหลาย การออกกำลังกายให้สมวัย เหล่านี้ก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริมจากภายนอกแต่อย่างใด

 

 

รับประทานวิตามินเสริมเพื่อบรรเทาโรคได้หรือไม่?

 

พบว่าการเสริมวิตามินในเด็กสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้บางกรณี เช่น การให้ธาตุสังกะสีเสริมในเด็กทีป่วยเป็นลำไส้อักเสบ ถ่ายเหลว จะช่วยให้ระยะเวลาความเจ็บป่วยนั้นสั้นลง และลดความรุนแรงของโรคลงได้ แต่อะไรที่มากไปอาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีกลับมาได้เสมอ วิตามินที่ควรให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ได้แก่

 

 วิตามินเอ เนื่องจากทารกและเด็กรับประทานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการสะสมและอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ความดันในกะโหลกศีรษะสูง (Pseudotumor Cerebri) และชัก เป็นต้น

 

 

 เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เมื่อรับประทานเข้าไปมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ เท่าที่ร่างกายต้องการ ที่เหลือจะยังคงเป็นเบต้าแคโรทีนลอยอยู่ในกระแสโลหิต ดังนั้น ถ้ารับประทานเบต้าแคโรทีนมากจนเกินไป จะทำให้ผิวหนังมีสีเหลืองแต่ตาจะไม่เหลือง ซึ่งยังไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เมื่อลดปริมาณที่รับประทานลงอาการผิวหนังสีเหลืองจะหายไป เบต้าแคโรทีนมักจะอยู่ในอาหารที่มาจากพืช ส่วนวิตามินเอมักจะอยู่ในอาหารที่มาจากสัตว์

 

 

และปัจจุบันพบว่าเด็กไทยยังได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น การเสริมดื่มนมเพิ่มขึ้น (นมวัว 1 ซีซี มีแคลเซียม 1.2 มิลลิกรัม) หรือเสริมด้วยยาเม็ดแคลเซียม จะช่วยให้เด็กมีมวลกระดูกสะสมเพิ่มขึ้นได้ เมื่อเด็กอายุประมาณ 13-14 ปี จะทำให้เด็กมีโอกาสสูงขึ้นได้ง่าย เพราะมีมวลกระดูกสะสมไว้มากเพียงพอ อย่างไรก็ตามการดื่มนมดีกว่าการรับประทานแคลเซียมเม็ด เนื่องจากได้สารอาหารอื่นๆ จากนมอย่างครบถ้วนกว่าการรับประทานแคลเซียมเม็ดเพียงอย่างเดียว

 

 

พญ.ลักษณารีย์ จิรสุขประเสริฐ

แผนกศูนย์เด็กและวัยรุ่น สาขาและความเชี่ยวชาญกุมาร เวชศาสตร์โรคผิวหนัง

โรงพยาบาลนนทเวช

(Some images used under license from Shutterstock.com.)