ฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ โดยมักพบในรูปเกลือฟอสเฟต ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่พบได้มากในร่างกายโดยมีน้ำหนักร้อยละ 1 ของน้ำหนักร่างกาย ปริมาณฟอสฟอรัสสูงสุดที่ร่างกายรับได้ในแต่ละวันในผู้ที่อายุ 9-18 ปี คือ 1,250 มิลลิกรัม และผู้ที่อายุ 19 ปีขึ้นไป คือ 700 มิลลิกรัม การตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตรไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความต้องการฟอสฟอรัสในแต่ละวัน
แหล่งของฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสในอาหารมีทั้งในรูปแบบฟอสฟอรัสอินทรีย์ (เช่น ฟอสฟอรัสในสารพันธุกรรม) และฟอสฟอรัสอนินทรีย์ (เกลือฟอสเฟต) โดยฟอสฟอรัสในอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นรูปฟอสฟอรัสอนินทรีย์ก่อนถูกร่างกายดูดซึมไปใช้ การดูดซึมฟอสฟอรัสของร่างกายไม่ขึ้นกับปริมาณฟอสฟอรัสในอาหาร กล่าวคือ แม้ร่างกายจะได้รับฟอสฟอรัสจากอาหารในปริมาณต่ำ แต่ร่างกายก็ยังดูดซึมฟอสฟอรัสในอัตราตามปกติ (แตกต่างจากแคลเซียมที่ปริมาณการดูดซึมสามารถเปลี่ยนแปลงตามปริมาณแคลเซียมในอาหารได้) โดยฟอสฟอรัสจะถูกซึมด้วยการแพร่ตามปกติ และด้วยตัวขนส่งซึ่งอาศัยวิตามินดีในการทำงาน การดูดซึมฟอสฟอรัสในทางเดินอาหารถูกขัดขวางได้ด้วยอะลูมิเนียม และแคลเซียมในอาหารหรือยาบางชนิด (เช่น ยาลดกรด ยาแก้ท้องอืดบางชนิด)
เนื่องจากฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบของเซลล์ อาหารเกือบทุกประเภทจึงเป็นแหล่งที่ดีของฟอสฟอรัส ยกเว้นเมล็ดพืชทุกประเภท เนื่องจากจะสะสมฟอสฟอรัสในรูปกรดไฟติก ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายย่อยไม่ได้ อย่างไรก็ตามในอาหารประเภทยีสต์ และแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ สามารถผลิตเอนไซม์ที่ย่อยกรดไฟติกได้ ทำให้ร่างกายได้รับฟอสฟอรัสจากกรดไฟติก (เช่น ขนมปัง เมล็ดธัญพืชที่ใช้ยีสต์ทำให้ฟู)
อาหารที่เป็นแหล่งที่ดีของฟอสฟอรัส ได้แก่ นม นมแม่ (โดยฟอสเฟตจากนมแม่จะลดลงอย่างมากในช่วง 4-25 สัปดาห์หลังคลอด) และนมถั่วเหลืองนอกจากนี้ยังสามารถพบฟอสฟอรัสปริมาณสูงได้ในน้ำอัดลม และสารกันบูดในอาหารอีกด้วย
ผลของฟอสฟอรัสต่อร่างกาย
ฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบเซลล์ ฟอสฟอรัสอินทรีย์พบในฟอสโฟลิพิด ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ ในกรดนิวคลีอิก ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสารพันธุกรรม และพบในสารอนุพันธ์ของกรดนิวคลีอิก เช่น อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะสมและจ่ายพลังงานในปฏิกิริยาต่างๆ
นอกจากนี้ฟอสฟอรัสในรูปสารอนินทรีย์ยังเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูก และกระดูกอ่อน เนื่องจากฟอสฟอรัสที่ร่างกายใช้ในปฏิกิริยาต่างๆ สามารถถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ร่างกายจึงต้องการฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอต่อการสร้างกระดูก การขับฟอสฟอรัสออกจากร่างกาย และการผลัดเซลล์ผิวหนังใหม่
การได้รับฟอสฟอรัสจากอาหารไม่เพียงพอต่อร่างกาย ทำให้ปริมาณฟอสฟอรัสในเลือดต่ำ ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะเบื่ออาหาร โลหิตจาง กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ปวดกระดูก ภาวะกระดูกอ่อน (osteomalacia) อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน ภาวะเสียสหการ สับสน และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากปริมาณฟอสฟอรัสในอาหารมีมากอย่างเหลือเฟือ ภาวะขาดฟอสฟอรัสเนื่องจากการได้รับฟอสฟอรัสจากอาหารไม่เพียงพอ จึงพบเฉพาะในผู้ที่อดอาหารเป็นระยะเวลานาน หรือใช้ยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบในขนาดสูงและต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่ภาวะที่พบในบุคคลทั่วไป
การรับประทานฟอสฟอรัสมากเกินไปทำให้เกิดภาวะสมดุลแคลเซียมเปลี่ยนแปลง แคลเซียมตกตะกอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไต และเกิดภาวะกระดูกอ่อนได้ อย่างไรก็ตามภาวะพิษจากฟอสฟอรัสเป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อย โดยจะเกิดขึ้นเมื่อรับประทานฟอสฟอรัสมากกว่า 3 กรัมต่อวัน
ปฏิกิริยาระหว่างยา
การใช้ยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดภาวะฟอสฟอรัสในเลือดต่ำได้ เช่น ยาลดกรดที่มีอะลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบ ยาขับลมที่มีส่วนประกอบของโซเดียมไบคาร์บอเนต และยาอื่นๆ เช่น อะเซตาโซลาไมด์ (acetazolamide) ฟอสคาร์เนท (foscarnet) เพนทามิดีน (pentamidine) อิมาทินิบ (imatinib)
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ฟอสฟอรัสเป็นสารอาหารที่พบได้อย่างเหลือเฟือในอาหาร จึงไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานฟอสฟอรัสเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแต่อย่างใด
เอกสารอ้างอิง
-http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000307.htm (Access September 2015)
-Nation Academy of Sciences. Institue of Medicine. Food and Nutrition Board. Dietary Reference Intakes for Calcium, Phosphorus, Magnesium, Vitamin D, and Fluoride (1997)
ภก.ณัฐวุฒิ ลีลากนก