
© 2017 Copyright - Haijai.com
สมองกับวิญญาณ
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ชีวิตของคนเรามีการทำงานร่วมกันของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยสมองเป็นผู้สั่งการ วิทยาศาสตร์เชื่อว่า ความคิด การตัดสินใจ การทำงานทุกอย่างของร่างกายเราเกิดจากการสั่งการของสมอง วันหนึ่งเมื่อสมองตายเราก็จะตาย และจะไม่เหลืออะไร ชีวิตนี้ไม่มีภาคต่อ ซึ่งแน่นอนว่าหลายอย่างในชีวิตของเราเกิดจากการทำงานของสมอง แต่ก็มีหลายอย่างเช่นกันที่ไม่ได้เกิดจากการสั่งการของสมอง หรือบางอย่างวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องสั่งการแบบนนั้น
ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราเจอใครบางคนเป็นครั้งแรก สมองเราจะรับรู้ข้อมูลเป็นภาพว่าคนนี้เราเจอครั้งแรก และคนนี้หน้าตาเป็นแบบนี้ รับข้อมูลมาเท่านี้ แต่มีบางอย่างมาสั่งสมองให้เรารู้สึกชอบเขาขึ้นมาทันที แล้วตามด้วยการทำงานบางอย่างของร่างกาย เช่นการเต้นของหัวใจ (ตามข้อมูลด้านล่าง) หรือบางคนเราเจอครั้งแรก มีบางอย่างสั่งให้สมองรู้ว่าเราเกลียดเช่นกัน โดยมีลักษณะการทำงานคล้ายกับกรณีที่เจอคนที่เรารัก
เห็นหน้าครั้งแรก -> สมองรับข้อมูลเป็นภาพคนไม่รู้จัก -> อะไรบ้างอย่างบอกว่าชอบ -> เรารู้สึกชอบ -> สมองรับรู้ว่าชอบ -> หัวใจเต้นแรง
ให้ลองจินตนาการดูว่า หากเรากับเพื่อนสนิทของเรา (หรือแม้แต่ฝาแฝด) มองคนแปลกหน้าที่เดินผ่านเราไปสัก 10 คน เรากับเพื่อนสนิทของเราจะรู้สึกกับคนทั้ง 10 คนนี้ไม่เหมือนกัน บางคนเราชอบ แต่เพื่อนเราไม่ชอบ บางคนเราเฉยๆ แต่เพื่อนของเราชอบ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ทั้งๆ ที่สมองของเราและเพื่อนสนิทรับข้อมูลเป็นรูปภาพคนไม่รู้จัก 10 คนเหมือนกัน แต่กลับรู้สึกกับ 10 คนนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นว่า สมองไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
หากมีบางคนมาตบหน้าเราจะมีสัญญาณส่งมาที่สมองว่าเจ็บ สมองจะรับรู้แค่นั้น แต่จะมีบางอย่างสั่งสมองว่าต้องโกรธด้วย (ตามข้อมูลด้านล่าง)
ถูกตบหน้า -> สมองรับรู้ว่าเจ็บ -> อะไรสักอย่างบอกว่าโกรธ -> เรารู้สึกโกรธ -> สมองรับรู้ว่าโกรธ -> จะเอาคืน
ในขณะที่หากเราเป็นคนตบตัวเอง สมองเราได้รับข้อมูลว่าเจ็บเท่ากัน เจ็บเหมือนกัน แต่กลับไม่มีอาการโกรธ เพราะไม่มี “อะไรสักอย่าง” บอกให้โกรธ เพราะรู้ว่าเราทำเอง ทั้งสองกรณี หน้าเราถูกตบเหมือนกัน สมองรับข้อมูลมาเหมือนกันทุกประการ แต่ปฏิกิริยาที่เราทำนั้นจะแตกต่างกันออกไป เพราะมีบางอย่างที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเรา เราจึงแสดงออกแตกต่างกัน
เห็นไหมครับว่า ถ้าดูเฉพาะการทำงานของสมออย่างเดียว เราแทบจะไม่ต่างจากหุ่นยนต์หรือคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่รับรู้ข้อมูลและส่งต่อข้อมูล ต้องมีบางอย่างมาสั่งสมองอีกที เราถึงจะดูเป็นมนุษย์ขึ้นมา แต่วิทยาศาสตร์นั้นจะพยายามอธิบายการทำงานเหล่านี้รวมกันเป็นก้อน แล้วเหมารวมว่าเป็นการทำงานของสมอง ซึ่งความคิดแบบนี้จะทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเราถึงเป็นไปตามตัวอย่างที่กล่าวมาข้างบน รวมถึงอีกมากมายหลายเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์และการตัดสินใจของมนุษย์ เช่น คนที่เกิดเป็นพี่น้องกันหรือแม้แต่ฝาแฝดที่ได้รับทุกอย่างจากพ่อแม่เดียวกัน เลี้ยงดูมาเหมือนกัน ทำไมถึงมีความชอบในเรื่องต่างๆ ไม่เหมือนกัน
ทางพุทธศาสนานั้นอธิบายว่า การทำงานของร่างกายเราประกอบด้วย การทำงานของสมองและบางอย่างที่มาสั่งสมอง ซึ่งสิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับความรัก โลภ โกรธ หลง และสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าคนคนนั้น จะชอบหรือไม่ชอบอะไร และจะเป็นตัวกำหนดว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือเลว
• ร่างกาย + “อะไรสักอย่างที่ดี” => คนดี
• ร่างกาย + “อะไรสักอย่างที่ไม่ดี” => คนไม่ดี
• ร่างกายที่ไม่มี “อะไรสักอย่าง” => ไม่ต่างจากผักหรือก้อนเนื้อ
“อะไรสักอย่าง” นั้นก็คือวิญญาณที่อยู่ในตัวเรานั่นเอง (ในทางพระพุทธศาสนาจะมีการอธิบายในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอย่างค่อนข้างละเอียด แต่เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ผมจึงขอใช้คำกลางๆ ว่า วิญญาณ ซึ่งเป็นคำกลางๆ ที่คนส่วนใหญ่พอจะนึกภาพออก แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นนามธรรมมีหลายอย่าง และไม่ได้มีรูปร่างเหมือนผีหรือวิญญาณตามที่เห็นในละคร)
“อะไรสักอย่าง” ที่คอยบอกสมอง => ส่วนที่ไม่ใช่ร่างกาย (วิญญาณ จิต)
ขอปิดท้ายอีกตัวอย่าง สมมุติว่าวันนี้เทคโนโลยีสูงมากพอจนสามารถโคลนนิ่งคนได้เหมือนต้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ โคลนได้แม้แต่ทุกรายละเอียดของสมอง แล้วมีคนจับตัวคุณไปโคลนนิ่ง คุณจะบอกว่าร่างที่โคลนออกมาคือคุณหรือไม่ ทั้งๆ ที่เขามีทุกอย่างเหมือนคุณ ไม่เว้นแม้แต่สมอง คำตอบก็คือไม่ใช่แน่นอน เพราะตัวตนจริงๆ ของเราไม่ใช่ร่างกายและสมอง แต่เป็นวิญญาณที่อยู่ข้างในต่างหาก
เห็นไหมครับว่า เมื่อรวมเรื่องของการเกิดเข้ากับเรื่องของวิญญาณที่มีอยู่ในตัวเราว่าในร่างกาย ที่เห็นภายนอกเป็นเลือดเนื้อนั้น ภายในยังมีอีกอย่างที่อยู่ร่วมกับร่างกายนี้ก็คือวิญญาณ ซึ่งวิญญาณนี้มีที่มาก็คือมาด้วยกรรมที่เคยได้ทำในชาติก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มาเกิดในแบบที่เป็นในชาตินี้ และจากการที่วิญญาณมีที่มาที่แตกต่างกัน จึงทำให้คนที่เกิดเป็นพี่น้องกัน ได้รับทุกอย่างจากพ่อแม่เดียวกัน ถูกเลี้ยงดูเหมือนกัน จึงมีความชอบในสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ยิ่งทำให้เราเชื่อมโยงได้ง่ายขึ้นว่าแนวโน้มที่ชีวิตหลังความตายในชาตินี้จะมีภาคต่อไป
(Some images used under license from Shutterstock.com.)