
© 2017 Copyright - Haijai.com
อยากเบิร์นไขมัน ควรวิ่งช้าหรือเร็ว
หากมองในมุมของคนทั่วไปจะคิดว่า ความเร็วของการวิ่งนั้นสำคัญสำหรับนักวิ่งประเภทแข่งขันเท่านั้น แต่ความจริงแล้วความเร็วหรือช้าของการวิ่งนั้น มีความสำคัญสำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการวิ่งเพื่อเผาผลาญไขมัน แต่เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะรู้ว่า การวิ่งในแต่ละครั้งนั้นสามารถเบิร์นไขมันได้จริงหรือมากน้อยแค่ไหน
วิ่งช้าหรือเร็ว แบบไหนเบิร์นมากกว่า
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า การค่อยๆวิ่งแต่ใช้ระยะเวลานาน จะเกิดการเผาผลาญไขมันมากกว่าการวิ่งด้วยความเร็ว เพราะการวิ่งเร็วจะใช้พลังงานจากไกลโคเจน ซึ่งไม่มีผลในการดึงไขมันที่สะสมอยู่บริเวณต่างๆ ตามร่างกายมาใช้ แต่ความจริงแล้วความเข้าใจดังกล่าวไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะการวิ่งเร็วมีผลต่อการเผาผลาญพลังงานในกระบวนการเมตาบอลิซึ่มเช่นกัน เพราะการวิ่งเร็วจะใช้พลังงานทั้ง 2 แหล่ง คือ ไกลโคเจน และไขมัน โดยการวิ่งด้วยความเร็ว ร่างกายจะนำไกลโคเจนมาใช้มากกว่า แต่ภายหลังจากการวิ่งด้วยความเร็วแล้ว การเผาผลาญไกลโคเจนจะลดลง แต่ร่างกายยังคงเผาผลาญไขมันต่อแม้คุณจะหยุดพัก หรือนอนหลับก็ตาม ขณะเดียวกันคนที่ค่อยๆ วิ่ง จะหยุดการเผาผลาญไขมันแทบจะทันทีหลังจากที่หยุดวิ่ง
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Appalachian State University ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ให้ผู้เข้าร่วมการศึกษาปั่นจักรยานด้วยความเร็วกว่า 45 นาที ทำให้เกิดการเผาผลาญแคลอรีต่อเนื่องถึง 14 ชั่วโมง หรือการสลายไขมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 แต่กลุ่มที่ปั่นจักรยานอย่างช้าๆ กลับไม่พบกระบวนการเช่นนี้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Syracuse ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ว่า การวิ่งสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าการเดินถึง 50%
ในขณะที่การวิ่งช้าๆ เมื่อเทียบกับการวิ่งเร็ว การวิ่งช้าใช้พลังงานจากไขมัน แต่ไขมันจะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อวิ่งต่อเนื่องกว่า 20 นาที โดยช่วงแรกของการวิ่งยังคงเป็นการดึงไกลโคเจนมาใช้ในการวิ่งเช่นเดียวกับการวิ่งเร็ว แต่เมื่อหยุดวิ่ง ร่างกายจะหยุดการเผาผลาญไขมันทันที แตกต่างจากการวิ่งด้วยความเร็ว นอกจากจะเบิร์นไขมันแล้ว คุณยังได้เผาผลาญไขมันต่อเนื่องนานถึง 14 ชั่วโมง หลังจากการวิ่งอีกด้วย วิ่งแล้วน้ำหนักไม่ลงสักที
เป็นผลลัพธ์จากการวิ่งช้าอย่างที่กล่าวไป ร่างกายได้ใช้ไขมันจริง แต่เมื่อหยุดวิ่งการเผาผลาญไขมันก็จะหยุดลง ทำให้น้ำหนักลดช้าลง หรือไม่ยอมลดลง การเพิ่มสปีดความเร็วในการวิ่งเข้าไปในทุกครั้งที่วิ่ง อาจจะวิ่งช้าสลับเร็ว จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ควรระมัดระวัง เพราะการวิ่งด้วยความเร็วสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมากเกิน จะทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นรับการทำงานไม่ไหว เกิดการบาดเจ็บระหว่างการวิ่งได้
สิ่งที่ควรปฏิบัติคือ ค่อยๆ เพิ่มความเร็วทีละน้อย ให้วิ่งเร็วกว่าเดิมที่วิ่งประจำครั้งละร้อยละ 5 และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช้าๆ ไม่ถึงเดือน ร่างกายก็จะมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น พร้อมรับมือกับการวิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
ตัวอย่างการวิ่งที่เหมาะสมสำหรับการเบิร์นไขมัน
วอร์มอัพด้วยการวิ่งเบาๆ 15-20 นาที จากนั้นวิ่งเร็วขึ้นเป็นระยะๆ สลับกับวิ่งช้าเท่าเดิม วิ่งเร็ว 30 วินาที จำนวน 10 ครั้ง สลับกับวิ่งช้า 2 นาทีต่อครั้ง เมื่อร่างกายรับได้จึงเปลี่ยนจากวิ่งเร็ว 30 วินาที เป็น 60 วินาที วิ่งในลักษณะนี้ 1-2 ครั้ง จะทำให้ไขมันในร่างกายลดลง
ข้อควรระวัง
หากมีอาการเหนื่อยล้ามาก การหายใจแผ่ว หรือถ้าเกิดการบาดเจ็บ ควรหยุดเพื่อพักฟื้นร่างกาย
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย เพราะไม่ต้องมีทักษะและอุปกรณ์อะไรมาก แต่อย่าให้การวิ่งของคุณสูญเปล่า เพราะความเข้าใจผิดๆ เมื่อต้องการลดไขมัน ควรเรียนรู้ หรือหาข้อมูลให้มากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพของการวิ่งจะเพิ่มมากขึ้น หรือเป็นไปตามที่คุณต้องการ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)