© 2017 Copyright - Haijai.com
โบท็อกซ์ลดปีกจมูก
การปรับปีกจมูกให้แคบสำหรับคนที่มีปีกจมูกกว้างก็มีหลายวิธีอยู่ด้วยกัน ในแต่ละวิธีนั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินวินิจฉัยของแพทย์ และความพึงพอใจของคนไข้เป็นหลัก สำหรับใครที่ส่องกระจกแล้วพบว่าตัวเองช่างมีปีกจมูกที่กว้าง และแบนเกินหน้าเกินตา อวัยวะส่วนอื่นบนใบหน้า และต้องการทำปีกจมูกให้แคบลง แต่ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเลือกวิธีไหนดี และไม่อยากผ่าตัด ยังมีวิธีที่ทำได้ง่าย เห็นผลเร็ว ผลข้างเคียงน้อย เมื่อถึงเวลาก็สลายไปตามธรรมชาติ ฟังดูคุ้นๆ ใช่มั้ยคะ ใช่แล้วค่ะ นั่นคือ การปรับปีกจมูกด้วยการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์ นั่นเอง
BOTOX ลดปีกจมูกได้ด้วย?
BOTOX หรือ Botulinum Toxin Type A เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่ได้รับความนิยมในการนำมาช่วยเสริมความงาม มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ โดยการฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อมัดเล็ก ที่ทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณใบหน้าคลายตัวลง และยังสามารถช่วยปรับแต่งแก้ไขข้อบกพร่องของใบหน้าในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นบริเวณจมูก ร่องแก้มลึก ร่องริมฝีปาก รอยย่นรอบดวงตา รอยย่นบริเวณคอ รวมทั้งสามารถนำมาฉีดเพื่อหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ที่ยึดปีกจมูกขณะแสดงอารมณ์ ส่งผลให้ปีกจมูกดูแคบมากขึ้น โบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากฉีด 2-3 เดือน ซึ่งผลการรักษาแต่ละครั้งจะคงอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาใบหน้าและผิวพรรณของแต่ละคนด้วย
ปีกจมูกบานมาจากไหน?
จมูกบานมี 3 สาเหตุ ด้วยกัน สาเหตุแรกเกิดจากผิวหนัง คนไข้มีผิวหนังที่เกินหรือมากเกินไป สังเกตได้จากการจับดูบริเวณจมูกว่าสามารถดึงหรือโกยขึ้นได้หรือไม่ ถ้าได้ แสดงว่าจมูกบานเกิดจากผิวหนัง สาเหตุที่ 2 เกิดจากกล้ามเนื้อ สังเกตได้จากเวลาที่คนไข้ยิ้ม หากปีกจมูกถูกยกตาม แสดงว่าเกิดจากกล้ามเนื้อและไขมันบริเวณเหนือปีกจมูก แต่หากไม่ยกขึ้นตาม แสดงว่าเกิดจากบริเวณปีกจมูกเอง สาเหตุสุดท้าย ปีกจมูกบานเกิดจากกระดูกอ่อน หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุทั้ง 2 ข้อข้างต้น แสดงว่าปีกจมูกบานนั้นเกิดจากกระดูกอ่อนในกรณีการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อลดปีกจมูกนี้ เป็นการแก้ไขปีกจมูกบานที่มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อ หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าปีกจมูกบานเกิดจากกล้ามเนื้อ จึงทำการรักษาด้วยการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง แต่กล้ามเนื้อบริเวณจมูกก็มีหลายส่วนอยู่ด้วยกัน การฉีดจึงต้องฉีดเฉพาะจุดที่กล้ามเนื้อส่งผลทำให้จมูกบานเท่านั้น
ใครที่เหมาะกับการโบท็อกซ์ลดปีกจมูก?
• ผู้ที่มีปีกจมูกบานและมีเนื้อจมูกไม่มากเกินไป
• ผู้ที่ปีกจมูกบานอย่างเห็นได้ชัดเมื่อแสดงอารมณ์ เช่น โกรธ ตื่นต้น ตกใจ ซึ่งบางคนไม่รู้ตัว หรือเรียกว่าจมูกแฟลร์ (Flare)
• ต้องการทดลองดูว่าเมื่อจมูกแคบลงแล้ว จะเหมาะกับตนเองหรือไม่
• กลัวการผ่าตัด
รู้ได้อย่างไรว่าปีกจมูกบาน
มีวิธีวัดกันง่ายๆ โดยอาจไม่ต้องคำนวณมากมายให้วุ่นวายกับอวัยวะอื่นๆ บนใบหน้า เพียงแค่ลองลากเส้นสมมติที่ลากจากหัวตาตัดลงมาตรงๆ ที่ปีกจมูกทั้งสองข้าง ถ้าปีกจมูกเลยออกไปจากเส้นสมมติเกิน 2 มิลลิเมตร นั่นแปลว่าคุณจมูกบานแล้วล่ะ แต่จะบานมากหรือบานน้อย ก็ต้องมาดูกันต่อถึงเรื่องรูจมูกประกอบกันไปด้วย ว่ารูจมูกของเรานั้นแคบหรือกว้าง รวมทั้งเนื้อบริเวณปีกจมูกมีความหนาหรือบาง นอกจากนั้น ต้องประเมินร่วมกับกระดูกกรามบนด้วยว่ายื่นมากหรือน้อย หรือฟันเหยินหรือเปล่านั่นเอง ถ้าฟันเหยินมาก ปีกจมูกก็ย่อมบานมากตามไปด้วย
แบบไหนถึงเรียกว่าจมูกสวย
อวัยวะที่สำคัญต่อรูปหน้าไม่แพ้ส่วนอื่นๆ อย่างจมูก ตำแหน่งที่ดี ควรอยู่ตรงเส้นกลางของใบหน้า มีรูปทรงสวยงาม มีสันจมูก และปีกจมูกไม่กว้างหรือแคบมากจนเกินไป บางคนมีจมูกที่สวยอยู่แล้ว แต่บางคนมองกระจกทีไรก็ยังไม่พอใจจมูกของตัวเองทุกที การลดปีกจมูกเป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยทำให้จมูกดูสวยขึ้น เพราะปัญหาของปีกจมูกที่กว้างก็คือ ทำให้ดูมีอายุมากและใบหน้าไม่ได้สัดส่วน และการปรับเปลี่ยนรูปจมูก บางครั้งต้องมองให้ลึกถึงลักษณะของกะโหลกศีรษะด้วย เพราะลักษณะกะโหลกศีรษะของคนเอเชียกับคนยุโรปก็แตกต่างกัน คนเอเชียจะมีหน้าผากกว้าง เบ้าตาตื้น คนยุโรปหน้าผากแคบ เบ้าตาลึก เพราะฉะนั้น การปรับเปลี่ยนรูปจมูกจากของไทยให้กลายเป็นฝรั่ง ก็คงทำได้ยาก ทำได้เพียงใกล้เคียง ดังนั้น การปรับเปลี่ยนรูปจมูกควรต้องรับกับสัดส่วนโดยรวมของใบหน้าด้วย
การทำงานของกล้ามเนื้อจมูก
หลักการของการปรับปีกจมูก คือ ต้องรู้ถึงส่วนประกอบและการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณจมูก โดยจมูกเรามีกล้ามเนื้อที่ใช้ในการควบคุมใหญ่ๆ อยู่ทั้งหมด 3 มัด ได้แก่
1.Nasalis muscle (นาร์ซาลิส มัสเซิล) กล้ามเนื้อมัดนี้จะเกาะอยู่ข้างปีกจมูก และล้อมขึ้นมาตรงด้านบน และขึ้นไปจรดตรงกลางของเนื้อจมูก และล้อมขึ้นมาตรงด้านบน และขึ้นไปจรดตรงกลางของเนื้อจมูก กล้ามเนื้อมัดนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1.1.Dilator naris: DN (ไดเลเตอร์ นาริส) หรือ Dilator nasalis (ไดเลเตอร์ เนซาลิส) กล้ามเนื้อไดเลเตอร์ นาริส วนรอบบริเวณปีกจมูก ทำหน้าที่หลักคือขณะหดตัวจะทำให้จมูกกาง
1.2.Compressor naris: CN (คอมเพรสเซฮร์ นาริส) หรือ Compressor nasalis (คอมเพรสเซอร์ เนซาลิส) กล้ามเนื้อคอมเพรสเซอร์ นาริส ทำงานตรงกันข้ามกับกล้ามเนื้อไดเลเตอร์ นาริส คือ ทำหน้าที่ในการหุบจมูก
ฉะนั้น กล้ามเนื้อสองมัดนี้จึงเป็นสองแรงที่ทำหน้าที่ดึงกันไปมา หากทำให้มัดกล้ามเนื้อฝั่งที่ทำให้จมูกกางอ่อนแรงไป ก็จะทำให้ฝั่งที่ทำหน้าที่หุบจมูกทำงานได้มากขึ้น ปีกจมูกก็จะดูเล็กลง
2.Levator labii superioris alaeque nasi muscle: LLSAN (ลีเวเตอร์ เลบิอาย ซูพีเรียออริส อลาร์กี้เนไซ มัสเซิล) เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการดึงจมูกจากบริเวณข้างจมูกและตรงร่องแก้ม รวมถึงปีกจมูกบางส่วน ดังนั้น กล้ามเนื้อมัดนี้จึงส่งผลทำให้ปีกจมูกกางโดยตรง เมื่อกล้ามเนื้อมัดนี้ถูกทำให้หยุดการทำงานด้วยสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน จะทำให้จมูกหุบแคบลง
3.Depressor septi nasi muscle: DSN (ดีเพรซเซอร์ เซปไต เนไซ มัสเซิล) กล้ามเนื้อมัดนี้จะอยู่ตรงกลางจมูกบริเวณด้านใน มีบางส่วนที่อยู่ด้านข้าง ทำหน้าที่หุบจมูก คือ ช่วยในการดึงจมูกลง ฉะนั้น จึงไม่ทำการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เข้าที่กล้ามเนื้อมัดนี้
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์ลดปีกจมูก
แพทย์จะทำตรวจประเมินวินิจฉัยรูปทรงจมูกของคนไข้ว่ามีปีกจมูกที่บานจริงๆ และให้คนไข้ออกกำลังปีกจมูก เพื่อดูว่าปีกจมูกมีการเคลื่อนไหวพอสมควรหรือไม่ หากมีการเคลื่อนไหวนั้นแปลว่าฉีดแล้วได้ผล แต่บางคนจมูกนิ่ง ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ฉีดไปแล้วอาจไม่ค่อยได้ผลหรือได้ผลน้อย หลังจากนั้นจึงทำการทายาชาหรือใช้น้ำแข็งประคบทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงทำการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เข้าไปที่ชั้นใต้ผิวหนังเหนือกระดูกอ่อน
จุดประสงค์ของการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน คือ เพื่อหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ในการกางจมูก ดังนั้น แพทย์จึงทำการฉีดที่กล้ามเนื้อมัดที่เรียกว่า Dilator naris: DN และ กล้ามเนื้อมัด Levator labii superioris alaeque nasi muscle: LLSAN โดยจุดแรกที่ต้องฉีดคือปีกจมูก เพราะกล้ามเนื้อมัดที่ทำให้จมูกกางอยู่บนปีกนั่นคือ กล้ามเนื้อ DN แพทย์จะจับปีกจมูกและฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เข้าไปข้างละประมาณ 5-10 ยูนิต ส่วนมัดที่ 2 คือ กล้ามเนื้อ LLSAN จะฉีดบริเวณร่องแก้ม ปริมาณสารโบทูลินั่ม ท็อกซินประมาณ 2-4 ยูนิต ต่อข้าง โดยปริมาณในการฉีดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
ผลลัพธ์ที่ได้
เมื่อกล้ามเนื้อที่ทำให้จมูกกางไม่ทำงาน จึงมีผลทำให้ปีกจมูกแคบลง และจมูกดูโด่งขึ้น แต่ไม่ทำให้รูจมูกยุบหรือปิดจนกระทั่งเป็นการขัดขวางระบบการหายใจ การฉีดโบท็อกซ์ลดปีกจมูกเป็นการทำหัตถการในพื้นที่เล็ก เรียกว่าเป็น Trial Treatment หากทำครั้งแรกแล้วไม่ได้ผล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะทำในครั้งต่อไป เนื่องจากไม่สามารถทดสอบกับบริเวณอื่นได้ แต่เป็นการทำหัตถการโดยใช้สารที่ปลอดภัย นั่นคือโบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือโบท็อกซ์ ที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์มากว่า 20 ปี เพียงแต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับบริเวณที่จะนำสารโบท็อกซ์ไปฉีดเท่านั้น
ระยะเวลา
เมื่อฉีดไปแล้วพบว่าผลที่ได้อยู่ที่ประมาณ 2-4 เดือน และค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ
ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง
ข้อควรระวังคือบริเวณจมูกจะมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ทุกครั้งที่ดึงเข็มออกมา แพทย์จะต้องทำการกดจุดฉีดไว้ก่อนประมาณ 1-2 นาที ไม่เช่นนั้นจะทำให้เลือดออกมากกว่าปกติ และเกิดอาการเขียวช้ำได้ แต่ไม่มีปัญหาเรื่องรอยแผล เนื่องจากใช้เข็มขนาดเล็ก
ข้อจำกัด
ข้อจำกัดของการฉีดโบท็อกซ์ลดปีกจมูกอยู่ตรงที่ลักษณะจมูกของผู้ที่ต้องการฉีด โดยจมูกที่ฉีดแล้วเห็นผลชัดเจน คือ จมูกที่บานมากๆ และมีผิวบาง จมูกที่หนาเมื่อฉีดไปแล้วจะไม่ค่อยเห็นผล และผู้ที่ต้องการศัลยกรรมจมูกควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของจมูกด้วย
นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครที่ยังกลัวๆ กล้าๆ ไม่อยากเอาจมูกไปเสี่ยงกับการศัลยกรรมแบบถาวร การลดปีกจมูกให้แคบด้วยโบท็อกซ์เป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นการทำหัตถการที่ทำได้ง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ผลข้างเคียงน้อย และสารโบท็อกซ์ก็สามารถสลายไปได้เอง เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ถือว่าเป็นการทดลองเปลี่ยนรูปจมูกให้สวยเก๋ได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงอย่างไร ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง
ปัญหาปีกจมูกกว้างพบมากในคนเอเชีย และแอฟริกัน (นิโกร) มากกว่าคนคอร์เคเชียนหรือฝรั่งผิวขาว เนื่องจากลักษณะโครงสร้างของใบหน้ามีความแตกต่างกัน ปัจจุบันการลดปีกจมูกที่บานให้แคบลงด้วยโบท็อกซ์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสมัยก่อนคนไข้ยังไม่ทราบว่าสามารถลดปีกจมูกด้วยวิธีนี้ได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่จะมีการทำหัตถการใดๆ หรือทำศัลยกรรมอื่นใด ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน ลดปีกจมูก ต้องฉีดด้วยแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมการใช้สารโบทูลินั่ม ท็อกซินมาพอสมควร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ และควรมีการเก็บบันทึกภาพก่อนและหลังการฉีดเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้
ดังนั้น ผู้ที่มีความสนใจควรปรึกษาแพทย์ทั้งเรื่องของขั้นตอนวิธีการ ผลดี ผลเสีย รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม แล้วค่อยตัดสินใจทำนะครับ
นพ.ไพศาล รัมณีย์ธร
ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)