© 2017 Copyright - Haijai.com
10 อาการไม่สบายตัวขณะตั้งครรภ์
ในผู้หญิงตั้งครรภ์ เรื่องหนึ่งที่มักจะทำให้พวกเธอไม่ค่อยรู้สึกสนุกนักขณะตั้งครรภ์ นั่นก็คงจะหนีไม่พ้นอาการข้างเคียงที่มักจะแทรกซ้อนเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วในผู้หญิงตั้งครรภ์เกือบจะทุกคนมักที่จะมีอาการเหล่านี้อยู่แล้ว หากรู้จักกับอาการให้ดี และก็รู้ถึงวิธีแก้ไข ก็จะทำให้การตั้งครรภ์ผ่านพ้นมาได้อย่างสุขสบายกาย และใจคะ 10 อาการที่มักจะเกิดขึ้นในคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
คุณแม่ตั้งครรภ์กับเรื่องไม่สบายตัว
1.ปัสสาวะบ่อย คุณแม่จะสังเกตตัวเองได้เลยว่า จะเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นเนื่องจากปวดปัสสาวะ ซึ่งเกิดจากทารกในครรภ์กำลังเจริญเติบโตอยู่ในมดลูก และได้ไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยมากขึ้น การปัสสาวะบ่อยๆ นี้ คุณแม่จะเป็นอยู่ในช่วงไตรมาสแรก และจะหายไปในไตรมาสที่สอง พอผ่านเข้าช่วงไตรมาสที่สามก็จะมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากขนาดครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น รวมทั้งพัฒนาการของทารกที่เจริญเติบโตขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ด้วย อาการนี้ไม่อันตรายแต่อย่างใด คุณแม่แม้อาจแก้ด้วยการดื่มน้ำให้น้อยลงในช่วงกลางคืน
2.รอบหัวนมคล้ำ ในคุณแม่ตั้งครรภ์สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ บริเวณรอบหัวนมจะเป็นแผ่นวงชัดขยายใหญ่ขึ้น สีคล้ำเข้มขึ้น และบางครั้งอาจสังเกตเห็นว่ามีเส้นเลือดบริเวณรอบๆ เต้านมชัดขึ้นด้วย อาการอบหัวนมคล้ำขึ้นนี้ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักที่จะเป็นกันมาก แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจไปคะ เพราะสีคล้ำนี้จะจางลง เมื่อคลอดลูกแล้วนั่นเอง
3.เต้านมไวต่อความรู้สึก คุณแม่ตั้งครรภ์จะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบริเวณหน้าอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่อาบน้ำแล้วต้องถูสบู่บริเวณหน้าอก เต้านมเมื่อถูกสัมผัสจะรู้สึกเสียวๆ และในบางคนก็อาจจะเจ็บ แม้ว่าจะเป็นเพียงการสัมผัสเบาๆ ก็ตาม อาการนี้จะคล้ายๆ กับตอนก่อนมีประจำเดือนคะ และจะหายไปได้เอง
4.สีผิวบนใบหน้าคล้ำ คุณแม่พอตั้งครรภ์ได้ 14 สัปดาห์ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะมีมากขึ้น รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงภายนอกร่างกาย นั่นก็คือบริเวณใบหน้า ในคุณแม่ที่มีไฝ กระ ก็จะมีสีเข้มขึ้น สำหรับสีผิวของใบหน้าก็จะคล้ำขึ้น เข้มขึ้น อาการนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของการตั้งครรภ์ สีผิวที่เข้มขึ้นนี้จะค่อยๆ จางลงเป็นปกติหลังคลอดลูกแล้ว (ในคุณแม่ตั้งครรภ์บางคนก็อาจจะไม่เป็น แต่เป็นสิวแทนก็มีคะ)
5.ผิวหนังแตกลาย การแตกลายของผิวหนัง หรือบางคนก็จะมีการคันเกิดขึ้นร่วมด้วย เป็นเพราะผิวหนังเริ่มมีการขยายขึ้น โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณท้อง เป็นผลให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยแตกลายเป็นเส้นแดงๆ การแก้ไขคือพอรู้ว่าเริ่มตั้งครรภ์ คุณแม่ควรที่จะดื่มน้ำมากๆ และหลังอาบน้ำก็ควรที่จะทาครีมบำรุง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว รวมทั้งทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ช่วยให้ผิวแตกลายน้อยลง หรือบางคนก็ไม่เป็นเลยก็มีคะ ริ้วรอยแตกลายที่ผิวจะค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นเส้นสีขาวๆ แทน หลังคลอดลูกแล้ว
6.เส้นคล้ำที่หน้าท้อง อาการนี้ในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เป็นกันเกือบทุกคนเลยก็ว่าได้ นั่นเป็นเพราะขนาดครรภ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นและมาจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีการเปลี่ยนแปลง จนทำให้ผิวหนังบริเวณท้องตึงขึ้น และทำให้เส้นที่หน้าท้องเป็นสีเด่นชัดขึ้นมาก เส้นคล้ำที่หน้าท้องนี้จะจางลงและหายไปเป็นปกติ หลังจากคลอดลูกแล้ว
7.ตกขาว อาการตกขาวนี้ถือเป็นเรื่องปกติของคนที่ตั้งครรภ์ เพราะตกขาวมักจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ สำหรับการตกขาวที่เพิ่มมากขึ้นขณะตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายที่เพิ่มขึ้น การตกขาวที่เป็นปกติ จะต้องไม่มีสี ไม่มีกลิ่น การรักษาความสะอาดก็ให้คุณแม่สวมใส่กางในที่มีเนื้อผ้าช่วยในการระบายความอับชื้นได้ค่อนข้างดี หากบริเวณจุดซ่อนเล้นสะอาด และปราศจากความอับชื้น ตกขาวก็จะเป็นปกติเพราะไม่ติดเชื้อแบคทีเรีย
8.ข้อเท้าบวม อาการนี้ในคุณแม่ตั้งครรภ์มักที่จะประสบกันในช่วงการตั้งครรภ์เข้าสู่ช่วงไตรมาสที่สามแล้ว นั่นก็เป็นเพราะปริมาณเลือด และน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไปกดทับหลอดเลือดใหญ่ จนเกิดอาการเท้าบวมขึ้น ในคุณแม่ที่เป็นมากๆ อาจจะช่วยทุเลาอาการโดยการ ให้ยกเท้าให้สูงขึ้น หรือเวลานอนก็ให้นอนตะแคงข้างเพื่อลดการกดทับของเส้นเลือดใหญ่คะ
9.เส้นเลือดขอด อาการเส้นเลือดขอดนี้ ในคุณแม่ตั้งครรภ์ก็มักที่จะไม่เป็นเลยก็มี แต่ในรายที่เป็นนั้นเกิดจากการไหลเวียนของเลือดบริเวณขาไม่สะดวก จนทำให้เส้นเลือดดำที่ขาพองตัวขึ้น จนเห็นว่าเป็นเส้นเลือดชัดเจนหรือนูนขึ้นมาก็มี การออกกำลังกายด้วยการเดินยืดเส้นยืดสายเบาๆ จะช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น
10.เหงือกอักเสบ ในคุณแม่ตั้งครรภ์เรื่องของช่องปากต้องดูแลให้ดี เพราะปัญหาช่องปากจะนำมาซึ่งปัญหาน่ากังวลใจได้อย่างมาก และอาการเหงือกอักเสบก็มักจะเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ด้วยเช่นกัน นั่นก็เป็นเพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เหงือกอ่อนนุ่มกว่าปกติ เวลาที่ทานอาหารก็ทำให้เศษอาหารติดตามซอกฟัน ซอกเหงือก จนทำให้เหงือกอักเสบได้ การรักษาความสะอาดทางช่องปากจึงควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หากพบความผิดปกติควรที่จะปรึกษาทันตแพทย์ทันที ไม่ควรที่จะหายาแก้ปวด หรือยาฆ่าเชื้อมาทานเองโดยเด็ดขาด
(Some images used under license from Shutterstock.com.)