Haijai.com


เตรียมตัวเตรียมใจ เมื่อคุณแม่ต้องกลับไปทำงาน


 
เปิดอ่าน 4544

เตรียมตัวเตรียมใจ เมื่อคุณแม่ต้องกลับไปทำงาน

 

 

9 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ยิ่งช่วงลาคลอด 90 วัน ยิ่งเร็วกว่า ก็ได้เวลาที่คุณแม่หนีไม่พ้น ต้องกลับไปทำงานเช่นเดิม บทบาทที่เปลี่ยนไปทำให้คุณแม่ต้องเตรียมอะไรกันบ้างนะ

 

 

 เตรียมใจ วันทำงานใกล้เข้ามาทุกขณะ ภาพบรรยากาศรถติดยามเช้า เจ้านายขี้บ่นยามสาย เพื่อนร่วมงานสติแตกยามบ่าย และกลับมารถติดอีกครั้งเมื่อยามเลิกงาน ก็จะย้อนกลับมาทำให้คุณแม่เหนื่อยใจตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลย อยากให้ใช้เคล็ดลับแบบนี้ ให้นั่งนึกบรรยากาศสนุกๆ ในที่ทำงาน เรื่องที่น่าตื่นเต้นของลูกน้อยที่อัดอั้นรอจะเม้าท์ให้เพื่อนๆ ฟัง ซึ่งยังดีกว่ามานั่งคิดถึงเรื่องไม่สนุกที่หนี้ไม้นจริงไหมล่ะ

 

 

 เตรียมกาย ร่างกายก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญ คุณแม่ควรจะเริ่มออกกำลังกายบ้าง เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเราสามารถปรับตัวต่อสภาพอากาศได้มากขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น ป้องกันการป่วยอีกด้วย คุณแม่คนไหนที่ตลอด 3 เดือนเอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในห้องแอร์ก็ควรเริ่มออกมาเดินสูดอากาศ จ๊อกกิ้งยามเช้าบ้าง คุณแม่คนไหนที่ต้องขับรถเอง ก็ถึงเวลาขับรถกินลมบ้างแล้ว เริ่มจากเวลาที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน ขับไป–มาแถวบ้านก่อน จากนั้นก็เพิ่มระยะทางไปเรื่อยๆ เพื่อให้ชินกับการขับรถที่ร้างมานาน

 

 

 เตรียมเวลา เนื่องจากเวลาส่วนหนึ่งที่ต้องแบ่งมาให้ลูก ทำให้คุณแม่ที่เป็น Working Mom เลือกที่จะใช้การหักดิบที่เรียกว่า “เวลาใครเวลามัน” นั่นก็คือ เวลางานเป็นงาน เวลาบ้านเป็นบ้าน ไม่เอามาก้าวก่ายปะปนกันเด็ดขาด แม้จะเป็นวิธีที่ดูจะแข็งๆ ไปเสียหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่สามารรถป้องกันความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดี

 

 

 เตรียมอารมณ์ แน่นอนว่าเมื่อกลับไปทำงาน ปัญหามากมายก็ตามมาเป็นระลอก ไหนจะงานใหม่ งานเก่า งานเข้ารายวัน ฯลฯ เคล็ดลับง่ายๆ ในการปรับอารมณ์ยามที่มีความรู้สึกแย่สุดๆ ก็คือการคิดถึงเรื่องที่จะทำให้เรามีความสุข แน่นอนยามนี้คงไม่พ้นเรื่องเจ้าตัวเล็ก เมื่อมีเรื่องที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเข้ามา หรือแม้แต่ยามเบื่องานสุดๆ ให้นึกถึงลูกเป็นอันดับแรก เอาหน้าเจ้าตัวเล็กเป็นกำลังใจมีแรงมาลุยงานต่อ

 

 

 เตรียมนมให้ลูกน้อย ในคุณแม่ที่ให้นมลูกเอง การเตรียมทำสต็อกน้ำนมเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก คุณแม่ส่วนมากไม่รู้ว่าคุณสามารถให้นมแม่ได้ถึง 3 เวลา แม้จะไปทำงาน ด้วยการทำสต็อกน้ำนม

 

 

เมื่อคุณแม่เริ่มไปทำงาน ก็ให้ลูกกินนมที่เราปั๊มเก็บไว้ ระหว่างที่อยู่ที่ทำงานก็ปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมง พยายามกำหนดเวลาให้ตรงกันทุกวัน เช่น ตอนเช้าให้ลูกดูดก่อนไปทำงาน พอถึงที่ทำงานก็ปั๊มตามเวลา แล้วเก็บใส่ถุงเก็บนมแม่แล้วแช่ตู้เย็น นำกลับมาให้ลูกกินในวันรุ่งขึ้น วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ให้ลูกดูดนมแม่ทุกมื้อ เพื่อรักษาปริมาณน้ำนม เพราะไม่มีเครื่องปั๊มนมยี่ห้อไหนดีเท่ากับลูกดูดเอง

 

 

 เตรียมพี่เลี้ยง นี่ก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ ยิ่งในบ้านครอบครัวเดี่ยวที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ และไม่มีญาติสนิทมิตรสหายมาช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กแล้วล่ะก็ ต้องลองมองหาเนอร์สเซอรี่หรือพี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้สักคนแล้วล่ะ

 

 

ก่อนจะกลับไปทำงาน ถ้าคุณแม่ได้แอบเตรียมตัวไว้บ้าง ก็รับรองได้ว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายมากระทบต่อจิตใจละครอบครัวได้แน่นอน

 

 

การเลือกพี่เลี้ยงนี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ยังเพื่อความไม่ประมาทเพราะพี่เลี้ยงจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดลูกเรามาก มีหลักการง่ายๆ 10 ข้อมาฝากค่ะ

 

 

1.มีประสบการณ์ อันนี้สำคัญมาก ยิ่งโดยเฉพาะในคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจลูกมากนัก อายุงานนี่ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจค่ะ

 

 

2.เป็นคนสะอาด อันนี้ดูจากภายนอกก็ออก ยิ่งพี่เลี้ยงต้องใกล้ชิดลูกเราเท่าไหร่เรื่องความสะอาดยิ่งสำคัญมากเท่านั้น เพราะถ้าพี่เลี้ยงเป็นแหล่งของเชื้อโรคเสียเอง คงไม่ดีแน่ค่ะ

 

 

3.กิริยามารยาทดี ไม่เฉพาะแต่มารยาทแต่หมายถึงพฤติกรรมโดยรวมด้วย หากพี่เลี้ยงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว กระโดกกระเดก ลูกก็จะซึมซับเอาพฤติกรรนั้นเข้ามาด้วย เพราะพี่เลี้ยงถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ลูกใกล้ชิดมากที่สุดค่ะ

 

 

4.มีอีคิว พี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งก็คือคนแปลกหน้าที่ยังไม่เคยรู้จักกันเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่คุณจะชี้ว่าฉันต้องการคนนี้เพราะ หน้าตาดี ก็ควรดูด้านอารมณ์ด้วยว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ สามารถควบคุมอารมณ์ได้หรือยัง

 

 

5.มีความรู้เรื่องพัฒนาการเด็ก แค่ดูแลอาจจะไม่พอ หากลูกได้รับการกระตุ้นเสริมพัฒนาการด้วยแล้วยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าตัวเล็กมากทีเดียว ความรู้ในเรื่องนี้จึงสำคัญมาก เพราะนอกจากจะดีในทางส่งเสริมแล้ว พี่เลี้ยงยังมีส่วนช่วยในการสังเกตอาการผิดปกติหรือพัฒนาการที่แปลกไปของลูกน้อยได้อีกทางหนึ่งด้วย

(Some images used under license from Shutterstock.com.)