
© 2017 Copyright - Haijai.com
คุณภาพการนอนของทารกน้อยลูกรัก
เจ้าตัวเล็กของคุณแม่นอนหลับได้ทั้งวัน ทั้งคืนตื่นมาแป๊บเดียว ดูดนมแม่เสร็จก็นอนหลับต่ออีกแล้ว เมื่อตอนที่นอนอยู่ในครรภ์คุณแม่ ทารกจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน นั่นก็เพื่อสร้างเซลล์ และอวัยวะต่างๆ ให้มีความแข็งแรง สมบูรณ์ และเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 5 ของการตั้งครรภ์ ทารกจะไม่นอนหลับนิ่งๆ เพียงอย่างเดียวแล้วค่ะ แต่จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง นั่นก็คือ “การดิ้น” ทารกเริ่มที่จะตื่นขึ้นมาบ้างแล้วละค่ะ หลังจากเดือนที่ 5 ไปแล้วทารกก็เริ่มมีการหลับ และตื่นเป็นช่วงๆ ค่ะ
การนอนในเด็กทารก
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพัฒนาการของทารก ในขณะที่ทารกนอนหลับนั้นจะมีหลายอย่างเกิดขึ้น และเสร็จสมบูรณ์ในระหว่างที่เด็กทารกกำลังนอนหลับ เช่น การเจริญเติบโตของสมองและร่างกาย หรือแม้กระทั่งการเตรียมตัว เพื่อเรียนรู้ในวันต่อมา การจดจำและการให้ความสนใจ
หลังจาก ที่เจ้าตัวเล็กคลอดออกมาจากในครรภ์อุ่นๆ ของคุณแม่ ในช่วงสัปดาห์แรก ลูกจะนอนถึง 16.6 ชั่วโมง/วัน หรือต่อ 24 ชั่วโมง ซึ่งในจำนวนชั่วโมงนี้ เป็นการนอนสั้นๆ ถึง 18 ครั้ง พอทารกอายุครบ 1 เดือน ช่วงเวลาการนอนก็จะลดลงไปประมาณสองชั่วโมง เหลือประมาณ 14.7 ชั่วโมงต่อวัน และจะงีบตอนกลางวัน 2 ครั้ง คือ ช่วงสายๆ และในช่วงบ่าย พอผ่านไปได้สัก 2-3 เดือน การนอนก็จะลดลงไปเหลือ 14 ชั่วโมง เมื่อทารกอายุครบ 6 เดือน การงีบในตอนกลางวัน ก็จะเริ่มมีรูปแบบมากขึ้น และเมื่อครบหนึ่งขวบ เจ้าตัวน้อยก็ต้องการนอนเพียง 13 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น (รวมกลางวัน กลางคืน) หลังจากนั้น ชั่วโมงการนอนจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามวัยของลูก จนกระทั่งถึง 5 ขวบ ลูกก็จะนอนแค่ 12 ชั่วโมง/วัน และต่อมาก็ลดลงเหลือ 8-9 ชั่วโมง/วัน
ชั่วโมงการนอน ที่ลดลงของทารกจะเป็นในช่วงการนอนตอนกลางวัน ส่วนในช่วงการนอนกลางคืนจะยาวนานขึ้น นั่นก็เพราะเด็กทารก เริ่มแยกความแตกต่างระหว่างกลางวัน และกลางคืนได้แล้ว ซึ่งเราจะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่สาม ที่ทารกน้อยเริ่มนอนกลางคืนยาวขึ้นถึง 72 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลางีบระหว่างวันประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์ของช่วงเวลากลางวัน และเมื่อถึงหกเดือน เวลางีบตอนกลางวันก็ลดลงมาเหลือเพียง 28 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น(แบ่งเป็นการงีบสองครั้ง) เด็กบางคนอาจนอน 2 ชั่วโมงในตอนสาย และอีก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ในตอนบ่าย ซึ่งชั่วโมงการงีบในตอนกลางวันก็จะขึ้นอยู่กับหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงเริ่มแรก และจะสร้างรูปแบบกลายเป็นความเคยชินหรือรูปแบบประจำ เช่น เด็กบางคนไม่ค่อยยอมงีบในตอนเช้า แต่มานอนยาวในตอนบ่าย เนื่องจากไม่ง่วงในช่วงเช้า พอตกบ่ายก็เหน็ดเหนื่อยหมดพลัง รวมกับความที่ง่วงที่สะสมในตอนเช้า ก็เลยทำให้งีบยาวในช่วงบ่าย เมื่อครบหนึ่งขวบ ลูกก็จะไม่ยอมงีบในช่วงเช้า หรือช่วงสายอีกแล้ว การนอนในช่วงสายจะค่อยๆ หายไป คงเหลือเพียงการงีบในตอนบ่ายวันละครั้งเท่านั้น แต่การนอนในตอนกลางคืนก็จะยาวนานหลับลึกขึ้น
เราสามารถแบ่งรูปแบบการนอน... ของเด็กทารกออกเป็นสองแบบคร่าวๆ คือ ช่วงการนอนฝัน และช่วงการนอนหลับลึก ช่วงการนอนฝัน ดวงตาของเด็กจะปิดสนิทแต่สังเกตเห็นได้ว่าลูกนัยน์ตากลอก ไปมาภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทเรียกกันว่า Rem หรือ Rapid eye movement ช่วง Rem นี้เองที่เลือดจะขึ้นไปเลี้ยงสมองเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความสามารถในการเรียนรู้ของทารก ทำให้ในขณะตื่นเด็กจะตื่นตัว เกิดความสามารถในการเรียนรู้ และจัดการกับข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับตลอดทั้งวัน มีความรู้สึก และไหวพริบปฏิภาณดี
ส่วนช่วงของการนอนหลับลึก... จะเป็นช่วงที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเอง เลือดจะตรงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย Growth Hormones หรือฮอร์โมนที่สร้างความเติบโตจะถูกหลั่งออกมาในช่วงนี้ และเนื้อเยื่อต่างๆ ก็จะถูกแบ่งตัว และเจริญเติบโต
สถาบันกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกา
ได้แนะนำไว้ว่า เด็กทารกควรนอนหงายเพื่อลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตกะทันหัน ในขณะนอนหลับของเด็ก (SIDS) การศึกษาขยายผลยังได้แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ SIDS ได้ลดน้อยลงเมื่อเด็กทารกนอนหงาย และเพื่อให้เด็กทารกแรกเกิดคุ้นเคยกับการนอนหงาย ก็ควรต้องเริ่มทำตั้งแต่ต้นเลย เด็กทารกบางคนอาจมีท่าทีว่าจะชอบนอนคว่ำ เพราะช่วยให้แขน ขานิ่งอยู่กับที่ เมื่อพวกเขาสะดุ้งตกใจ ซึ่งทำให้การสะดุ้ง ตกใจที่เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นปกติของวงจรการนอนหลับในระยะแรก ไม่ไปรบกวนการนอนของทารกมากนัก เด็กทารกเหล่านี้อาจรู้สึกสบายกว่าที่จะนอนคว่ำ ถึงแม้ว่าการช่วยหัดให้เด็กนอนหงายอาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพ่อแม่บางท่าน แต่สิ่งนี้ก็ช่วยป้องกันลูกจาก SIDS ได้
ช่วงเวลาการนอนของเด็กทารก
• แรกเกิด-1 สัปดาห์ ทารกจะใช้เวลานอนประมาณ 16.30 ชั่วโมงต่อวัน และนอนไม่เป็นเวลา มักจะตื่นบ่อย นอน 2-3 ชั่วโมง ตื่นอยู่ 1-2 ชั่วโมง แล้วก็หลับต่ออีก คุณแม่ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องปกติของเด็กแรกเกิดที่กำลังปรับตัวให้รู้จักการนอนที่เป็นเวลามากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ทั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเหนื่อยหน่อยค่ะ
• 1-2 เดือน ลูกจะนอนน้อยลงนิดหน่อยประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เป็นเวลา ยังคงตื่นบ่อยคล้ายๆ กับตอนแรกเกิด
• 2-3 เดือน นอนประมาณ 15.30 ชั่วโมงต่อวัน ลูกเริ่มจะนอนเป็นเวลามากขึ้น แต่ยังคงตื่นบ่อยอยู่ค่ะ ช่วงนี้ลูกจะเริ่มเรียนรู้เรื่องการนอนและตื่นเป็นเวลามากขึ้นเรื่อยๆ
• 3-6 เดือน นอนประมาณ 15 ชั่วโมงต่อวัน จะตื่นมากินนมประมาณทุกๆ 3-4 ชั่วโมง ช่วงนี้การนอนของลูกเริ่มเป็นเวลาแล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่จะเริ่มจับทางได้ กลางคืนจะนอนประมาณ 10 ชั่วโมง กลางวันนอน 5 ชั่วโมง
• 6-9 เดือน นอนประมาณ 14 ชั่วโมงต่อวัน ช่วงนี้ลูกจะนอนตอนกลางคืนนานขึ้น เด็กบางคนอาจจะนอนรวดเดียวจนเช้าได้ แต่ถ้าลูกยังตื่นมากินนมตอนกลางคืนอยู่ ช่วงนี้ควรค่อยๆ ฝึกให้ลูกนอนตอนกลางคืนให้นานขึ้น เช่น ลดการทานนมกลางดึกแล้ว ให้ลูกนอนช่วงกลางวันประมาณ 3-4 ชั่วโมง
• 9-12 เดือน นอนประมาณ 13 ชั่วโมงต่อวัน เริ่มรู้จักกลางวัน และกลางคืน นอนกลางคืนยาวรวดเดียวได้ ตื่นเป็นเวลาและเริ่มนอนกลางวันน้อยลง
• 1½-2 ปี ระยะเวลาการนอนสั้นลง ส่วนใหญ่จะงีบช่วงกลางวันครั้งเดียวประมาณ 2-3 ชั่วโมง ช่วงนี้เองที่เจ้าตัวเล็กมัก ห่วงเล่นจนไม่ได้นอนแล้วงีบในช่วงเย็นๆ จนทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน
บรรยากาศของการเข้านอนก็มีความสำคัญ... คือห้องที่ลูกนอนจะต้องเงียบ ไม่ควรมีสิ่งรบกวนทั้งทางเสียง หรือกลิ่น ส่วนในเรื่องของแสงบางบ้านอาจจะใช้วิธีเปิดไฟสลัวๆ ในเวลากลางคืน แต่ถ้าเป็นกลางวันอาจจะปิดผ้าม่านบางๆ พอให้แสงเข้าได้ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องของกลางวันกลางคืน อุณหภูมิภายในห้องควรอยู่ที่พอเหมาะไม่ร้อน และไม่เย็นจนเกินไป (23- 25 องศา) หัดให้ลูกแยกแยะการนอนออกจากการเล่น โดยการเก็บของเล่นออกจากเตียงให้หมดหรือควรแยกที่นอนกับที่เล่นออกจากกัน ลูกจะได้ไม่สับสนว่าควรจะนอนหรือเล่นดี ไม่ควรให้ลูกมีกิจกรรมที่ตื่นตัวเกินไปก่อนเข้านอน เช่น ดูภาพยนตร์ หรือรายการที่มีเนื้อหาตื่นเต้น ตลกหรือน่ากลัวเกินไป จะทำให้ลูกตื่นตัวจนนอนไม่หลับ หรือนอนละเมอตามมาได้ และสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ต้องส่งเสริมบรรยากาศการนอนที่ดีให้กับลูกด้วยค่ะ โดยเฉพาะบรรยากาศที่สงบเงียบ หากคุณพ่อคุณแม่ยังเปิดไฟสว่างทำงาน หรือคุยกันเสียงดังอยู่ ก็จะเป็นการรบกวนให้ลูกนอนไม่หลับและตื่นบ่อยได้ค่ะ
วงจรการนอนของเด็ก
วงจรการนอนของเด็กทารก จะมี 2 รูปแบบ ซึ่งเป็นวงจรการนอนเหมือนผู้ใหญ่อย่างเราๆ ค่ะ
• วงจรการนอนแบบที่ 1 จะเป็นการนอนหลับแบบไม่สนิท ซึ่งจะสังเกตได้ จากดวงตาจะมีการเคลื่อนไหวแบบกลอกไปมาอย่างรวดเร็วค่ะ
• วงจรการนอนแบบที่ 2 เป็นการหลับแบบเงียบสนิทไม่มีการกลอกลูกตาไปมา
ซึ่งทารกจะสลับวงจรการนอนทั้ง 2 แบบ สลับกันไปเป็นวงจร แต่ทารกจะหลับแบบเงียบสนิทเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่จะหลับแบบเงียบสนิท เป็นช่วงเวลานานกว่า สังเกตง่ายๆ ค่ะเวลาลูกนอนหลับแล้วเกิดนอนดิ้น บางครั้งก็ส่งเสียงครวญครางด้วย แสดงว่าลูกอยู่ในระยะหลับแบบไม่สนิท เพราะในขณะนั้น ลูกอาจกำลังฝันอะไรบางอย่างอยู่ค่ะ ถ้าหากลูกหลับอยู่ในระยะนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเข้าไปอุ้มหรือจับให้ทานนม เพราะอาจจะกลายเป็นว่า แทนที่จะให้ลูกหลับต่อไปได้ด้วยตัวเองกลับเป็นการปลุกลูกให้ตื่นขึ้นมาแทนค่ะ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องวงจรการนอนของลูกค่ะ เพราะเมื่อลูกโตขึ้นวงจรการนอนหลับสนิทจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นค่ะ
จัดที่นอนให้ดีลูกก็หลับสบาย
• ที่เบาะนอนของลูก ไม่ควรมีลักษณะที่อ่อน ควรมีลักษณะที่กดแล้วไม่ยุบมากจนเกินไป เพราะป้องกันทารกนอนแล้วเบาะนอนยุบจะอุดปาก และจมูกทำให้หายใจไม่ออก
• ทารกน้อยมักจะปัสสาวะ หรืออุจจาระหลังจากทานอิ่ม หรือหลังจากเมื่อเขาตื่นนอน เพื่อความสะดวก และง่ายต่อการทำความสะอาดที่นอน คุณแม่อาจใช้วิธีปูผ้ายางไว้บนที่นอนแล้วจึงปูผ้าปูที่นอนทับไว้ด้านบนอีกหนึ่งชั้น
• เพื่อป้องกันผ้าห่มอุ่นเลื่อนหลุด จากตัวของลูก เมื่อเขาขยับในขณะนอนหลับ คุณแม่อาจสอดด้านหนึ่งของผ้าห่มไว้ใต้ที่นอน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งวางพัดไว้บนที่นอน เพื่อไว้ใช้สำหรับเปิดห่มตัวทารกได้สะดวก
• ควรเลือกผ้าห่มที่ไม่หนา สามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย
• เพื่อง่ายต่อการเปลี่ยน และทำความสะอาด ควรเลือกผ้าปูที่นอนแบบที่เย็บเข้ามุมที่สามารถใส่ และถอดออกจากที่นอนได้สะดวก
• เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลูกนอนกลิ้งหน้าลงไปในหมอน แล้วหายใจไม่ออก เพราะหมอนไปอุดปาก และจมูก คุณแม่ไม่ควรใช้หมอนหนุนศีรษะให้ทารก
• ไม่ควรใช้ผ้าห่มที่มีลวดลายฉลุ เพราะในขณะนอนหลับนิ้วทารกอาจเข้าไปติดอยู่ในลวดลายฉลุนั้นได้ จนเกิดการบาดเจ็บขึ้น
• คุณแม่ไม่ควรใช้ผ้าห่มที่มีชายห้อยลงมา เพราะทารกสามารถคว้า และนำมาดูดเข้าปากได้
• ควรเลือกผ้าห่มแบบบาง หากเลือกผ้าห่มที่หนาเกินไป อาจทำให้ผ้าห่มลงมาปิดทับจมูกของทารกและทำให้หายใจไม่ออก
• ห้องนอนของลูกควรมีแสงสว่างที่น้อย ไม่สว่างมากเกินไป เพราะจะเป็นการรบกวนการนอนของลูก และที่สำคัญ ควรมีอุณหภูมิที่อบอุ่น ไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป
(Some images used under license from Shutterstock.com.)