Haijai.com


เซลล์ต้นกำเนิด สเต็มเซลล์ย้อนวัยได้ จริงหรือ


 
เปิดอ่าน 3949

สเต็มเซลล์ย้อนวัยได้ จริงหรือ

 

 

ปัจจุบันเทคโนโลยีทางด้านความงาม ได้มีวิวัฒนาการที่เติบโตอย่างรุกหน้ามากขึ้นทุกวัน บ้างก็เสริมสร้างความมั่นใจและชีวิตใหม่จากพลาสติก บ้างก็ผ่าตัดเปลี่ยนแปลงยกกระชับร่างกายให้ดูดี รวมถึงวิธีใช้เข็มเข้าฉีดพาย้อนวัยหวนคืนใบหน้าสมัยละอ่อนกลับมาก็ยังมี ซึ่งนอกจากความนิยมของการฉีดโบท็อกซ์ อัดฟิลเลอร์ หรือแม้แต่การร้อยไหมยกกระชับแล้ว กระแสความงามที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแรง คงหนีไม่พ้น “การฉีดสเต็มเซลล์ชะลอวัย” เห็นได้จากการที่เหล่าซุปตาร์คนดังหลายท่าน ที่ตั้งใจบินตรงเข้ารับอัพผิวหน้ากันยกใหญ่ แต่ก่อนที่ใครต่อใครจะกระตู้วู้ตามกระแสความงามเหล่านั้น ควรถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าเข้าใจในหลักการและจุดประสงค์ของวิธีเหล่านั้นอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ ทราบถึงความเป็นไปและผลลัพธ์ที่จะได้แล้วจริงหรือ เพราะหากเรานำประโยชน์ของสิ่งหนึ่งมาใช้แบบผิดวิธี ผลสุดท้ายที่ได้อาจกลายเป็นภัยโดยไม่ตั้งใจก็ได้นะ

 

 

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร

 

สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์อ่อนที่ไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง สามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ และพร้อมที่จะเจริญเติบโต เปลี่ยนแปลง เพื่อไปทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งภายในร่างกายแบบเฉพาะเจาะจง หรืออาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อในแบบชนิดต่างๆ เกือบทั่วร่างกายได้ เช่น เซลล์เม็ดเลือด สมอง กล้ามเนื้อ ผิวหนัง สายสะดือหรือไขกระดูก โดยเริ่มแรกเมื่อสเปิร์ม (Sperm) หรืออสุจิเข้าปฏิสนธิกับไข่แล้ว ต่อมาจะพัฒนาไปเป็นเซลล์ตัวอ่อน หรือเอ็มบริโอ (Embryo) และจะเริ่มมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด และจะแบ่งตัวออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้กลุ่มเซลล์ตัวอ่อนในระยะ 3-5 วัน ซึ่งรวมกันได้ประมาณ 150 เซลล์ (Cells) เรียกว่าระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst) โดยมีมวลเซลล์ชั้นใน หรือกลุ่มเซลล์ชั้นในอาศัยอยู่ภายในเซลล์ลบลาสโตซิสต์นี้ประมาณ 30 เซลล์ และมวลเซลล์เหล่านี้เองคือที่ถูกเรียกว่า “สเต็มเซลล์”

 

 

ปกติแล้วเซลล์ในร่างกายของมนุษย์เรานั้น จะทำหน้าที่จำเพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบไม่ย้อนกลับมาเป็นเซลล์ต้นกำเนิดซ้ำเดิมอีก เช่น เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ที่ได้มีการพัฒนาจนถึงขั้นสุดท้าย กลายมาเป็นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อเซลล์เหล่านั้นตายแล้วจะไม่มีเซลล์ใหม่เข้ามาทดแทนได้อีก สเต็มเซลล์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ

 

 เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากตัวอ่อน (Embryonic Stem Cell) เป็นเซลล์ที่สามารถเติบโต หรือเปลี่ยนแปลงได้เป็นเซลล์อะไรก็ได้ เกือบทุกชนิดในร่างกาย

 

 

 เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากสิ่งมีชีวิตโตเต็มวัย (Adult Stem Cell) หรือเนื้อเยื่อ จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์จำเพาะของเนื้อเยื่อนั้นๆ เพียงอย่างเดียว เช่น สเต็มเซลล์ของเลือดก็จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดเท่านั้น ในส่วนของสเต็มเซลล์โตเต็มวัยนี้ จะถูกผลิตขึ้นจากไขกระดูกสันหลัง ผิวหนัง เลือด และฟันน้ำนม ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดชนิดต่างๆ รวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งความสามารถของการพัฒนาเซลล์ออกเป็น 3 ชนิด คือ

 

1.Totipotent Cell คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ในระยะพัฒนาไปได้แบบไม่จำกัด ซึ่งคือเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์นั่นเอง

 

 

2.Pluripotent Cell คือ เซลล์ที่สามารถพัฒนาได้หลายแบบ และส่วนมากจะพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย

 

 

3..Unipotent Cell คือ เป็นเซลล์ที่พัฒนาอย่างเสร็จสมบูรณ์แบบจำเพาะเจาะจง เพื่อไปเป็นเซลล์ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น

 

 

สเต็มเซลล์ (ช่วย) ชะลอวัยได้จริงหรือ

 

ปัจจุบันเทคนิคการใช้สเต็มเซลล์เพื่อเสริมความงาม หรือที่เราคุ้นหูกันว่า สเต็มเซลล์ชะลอวัยนั้น ถูกยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะงานวิจัยโดยทีมแพทย์จากหลายสถานบันยังคงระบุว่า ปัจจุบันการใช้เทคนิคสเต็มเซลล์นั้น ยังคงสามารถใช้ได้เฉพาะทางการรักษาผู้ที่ป่วยจากโรคเลือด (โรคโลหิตวิทยา) แต่เพียงเท่านั้น ยังไม่มีการยืนยันจากวงการแพทย์ หรืองานวิจัยใดๆ ที่ระบุว่าสเต็มเซลล์สามารถชะลอความแก่หรือรักษาโรคอื่นๆ ได้นอกจากโรคเลือด ซึ่งการวิจัยและพัฒนการใช้เทคนิคสเต็มเซลล์จากเลือดก็ถูกนำมาใช้รักษาโรคเลือดมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ในส่วนของสเต็มเซลล์ที่มาจากอวัยวะส่วนอื่น หรือสเต็มเซลล์ที่มาจากตัวอ่อนของมนุษย์นั้น ยังอยู่ในส่วนของการวิจัย

 

 

โดยก่อนหน้านี้ได้มีการอธิบายถึงหลักการเจริญเติบโตของสเต็มเซลล์ผ่านผลจากการทดลองว่า สเต็มเซลล์ หรือเซลล็ต้นกำเนิด (Embryonic Stem Cell) ของมนุษย์นั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง เพราะจากการทดลองนำสเต็มเซลล์ไปฉีดในสัตว์ทดลอง แล้วยังพบว่ายากต่อการควบคุมให้สเต็มเซลล์เหล่านั้น ไปเจริญเติบโตในอวัยวะเป้าหมายได้อย่างแท้จริง เนื่องจากคุณสมบัติของสเต็มเซลล์ที่สามารถไปเติบโตในอวัยวะใดในร่างกายก็ได้ ซึ่งหมายถึงสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดเหล่านั้น จะเจริญไปเป็นเซลล์ใหม่ในส่วนใดก็ได้ อาจไปเจริญในอวัยวะที่ไม่ใช้เป้าหมายได้ เช่น เป้าหมายของการฉีดสเต็มเซลล์คือที่ไต แต่เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว สเต็มเซลล์เหล่านั้นกลับเจริญที่ตับ หรือในส่วนต่างๆ ที่ไม่ใช่อวัยวะเป้าหมาย จึงยังไม่มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในคนอย่างจริงจัง

 

 

และหากจะใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่โตเต็มวัย (Adult Stem Cell) นั้น ก็ต้องเป็นเซลล์ที่มาจากอวัยวะเฉพาะจากส่วนนั้นๆ เช่น ต้องการจะฉีดเข้าเซลล์ตับ ก็ต้องใช้เซลล์มาจากตับ ซึ่งความเป็นไปได้ที่เซลล์เหล่านั้นจะไปเจริญนอกอวัยวะเป้าหมายก็เป็นไปได้ยาก แต่ปัญหาคือการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดที่โตเต็มวัยจากมนุษย์ที่มีความเฉพาะเจาะจงจากอวัยวะต่างๆ

 

 

ซึ่งแน่นอนว่าเทคนิคต่างๆ ที่โน้มน้าวในด้านความงามว่าช่วยชะลอวัย เช่น ร้อนไหมชุบสเต็มเซลล์ ก็ยังเป็นวิธีที่วงการแพทย์ไม่ให้การยอมรับ และไม่มีงานวิจัยใดๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าสเต็มเซลล์ช่วยชะลอวัยได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่อวดอ้างว่ามีสเต็มเซลล์เป็นส่วนผสมก็ถือว่าไม่จริง

 

 

จึงยังสรุปได้ว่า สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่ใช้กล่าวอ้าง เพื่อช่วยเสริมความงาม ช่วยชะลอความแก่กันในปัจจุบันนั้น ยังไม่เป็นความจริง เพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้วว่า สเต็มเซลล์ที่กลุ่มแพทย์ยืนยันว่าสามารถนำมาใช้รักษาได้จริง เป็นเพียงการรักษาในกลุ่มผู้ที่ป่วยโรคเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยการรักษาจะใช้เทคนิคการดูดสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกสันหลัง และเซลล์ต้นกำเนิดนี้จะไปเจริญเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือดต่อไป เทคนิคนี้ถือเป็นขั้นตอนการรักษาด้วยสเต็มเซลล์แบบมาตรฐานสากลใช้กัน และเป็นการรักษาที่มีมานานแล้ว

 

 

อย่างไรก็ตาม การฉีดสเต็มเซลล์นั้นเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในปัจจุบัน แต่เพราะยังไม่เป็นที่แน่ชัดเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ได้หลังการรักษา รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมาค่อนข้างสูง จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยม และแม้ว่าจะมีการยืนยันแล้วว่าสเต็มเซลล์ใช้รักษาโรคเลือดได้ แต่ขั้นตอนการรักษาก็ไม่ใช่ว่าคนใช้จะสามารถเดินทางไปรักษาได้ด้วยตัวเอง คนไข้ต้องผ่านการตรวจสุขภาพจากแพทย์และตรวจประวัติอย่างละเอียดก่อน ที่แพทย์จะส่งตัวเพื่อทำการรักษาต่อยังต่างประเทศ ซึ่งหมายถึงวิธีรักษาโดยการฉีดสเต็มเซลล์นี้ จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอดเวลา

 

 

สเต็มเซลล์รักษาโรคเลือด

 

ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า กระแสของความงามที่มีการอวดคุณสมบัติจากสเต็มเซลล์ ว่าสามารถนำมาช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูผิว ชะลอวัยนั้น ยังถือว่าเป็นวิธีที่อยู่ในขั้นตอนของการวิจัย จึงยังไม่จัดว่าเป็นวิธีมาตรฐานที่สามารถใช้ได้จริงในทางด้านความงาม ปัจจุบันสเต็มเซลล์ได้ผ่านการยืนยันจากผลวิจัยว่า สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีโรคอันเกิดจากความผิดปกติจากเลือดมากกว่า 85 โรค โดยเราได้ยกตัวอย่างโรคเลือดที่สามารถรักษาด้วยสเต็มเซลล์ได้ชัดเจนดังนี้

 

 โรคลูคีเมีย (Leukemia) หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง โดยที่มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันจะเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ในไขกระดูกสันหลัง เป็นการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ตัวอ่อนในเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกนี้ จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด โดยจะเข้าไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและมีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยผู้ป่วยจะมีอาการซีดอ่อนเพลีย มีเลือดออกผิดปกติ อันเนื่องมาจากเกร็ดเลือดต่ำ รวมถึงจะสามารถติดเชื้อและมีไข้สูงได้ง่ายอีกด้วย

 

 

 โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) หรือโรคโลหิตจาง อธิบายได้ว่าเลือดหนึ่งหยดของเรานั้น จะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงอาศัยอยู่ภายในนับแสนเซลล์และในเซลล์เม็ดเลือดแดงเหล่านั้น จะมีสารโปรตีนและธาตุเหล็กรวมอยู่ ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนั้นเรียกว่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มีหน้าที่ในการจับออกซิเจน เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียนี้ จะมีความบกพร่องของการสร้างฮีโมโกลบินได้น้อยกว่าปกติ หรือสร้างไม่ได้เลย ซึ่งเม็ดเลือดของคนที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติ หรือผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียจะมีรูปร่างของเม็ดเลือดที่ผิดรูปร่างไป จากที่เม็ดเลือดกลมเต่งก็จะบิดเบี้ยว เม็ดเล็กและเปราะบาง ง่ายต่อการแตกสลาย ซึ่งหมายถึงการสูญเสียประสิทธิภาพในการจับออกซิเจนมาเลี้ยงร่างกายนั่นเอง ทั้งนี้ความรุนแรงของโรค จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนเป็นสำคัญ

 

 

นอกจากนี้ สเต็มเซลล์ยังถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และกลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานของไขกระดูกล้มเหลวอีกด้วย การใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคที่มีความผิดปกติจากเลือดนั้น สามารถทำได้โดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก หรือการดูดเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก ซึ่งอาจมาจากไขกระดูกของพี่น้องท้องเดียวกัน หรือจากพ่อแม่ก็ได้ ในส่วนของโรคอื่นๆ ยังไม่มีผลวิจัยหรือหลักฐานสนับสนุนเพียงพอจากแพทย์ว่า สามารถนำมาใช้เพื่อการรักษาได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจให้ผลดีต่อการรักษาได้ในอนาคต แต่ยังไม่ถูกบรรจุให้อยู่ในการรักษาแบบมาตรฐานเท่านั้น

 

 

สเต็มเซลล์จากพืชและสัตว์ ใช้ในมนุษย์ได้หรือเปล่า

 

เราอาจเคยได้ยินการฉีดสเต็มเซลล์ที่ผ่านการสกัดจากพืช เช่น เมล็ดองุ่น แอปเปิ้ล และบลูเบอร์รี่ หรือการฉีดสเต็มเซลล์ที่ได้มาจากสัตว์ เช่น วัว หนู และแกะ เป็นต้น อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นแล้วว่า สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดสามารถใช้รักษามนุษย์ได้เพียงแค่โรคเลือดเท่านั้น การใช้สเต็มเซลล์เพื่อความงาม หรือรักษาโรคต่างๆ ที่ไม่ใช่โรคเลือด จึงยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะยังไม่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ และหากมีการให้ข้อมูลถึงการใช้สเต็มเซลล์จากสัตว์และพืชด้วยแล้ว ยิ่งยากต่อการเชื่อถือเข้าไปใหญ่ ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นการข้ามสายพันธุ์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เรา จะมีการต่อต้านสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย หากร่างกายได้รับสารแปลกปลอมบ่อยๆ เข้า อาจนำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันเสียจนกลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disease) ได้

 

 

การฉีดสเต็มเซลล์ที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ดารา หรือเหล่าไฮโซทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นสเต็มเซลล์ที่สกัดมาจาก “รกแกะ” ซึ่งเป็นความเชื่อและอาจถือเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) คือ เป็นการรักษาและป้องกันโรค นอกเหนือจากศาสตร์ทางการแพทย์แบบปัจจุบันของประเทศในฝั่งยุโรป โดยการนำเซลล์สดจากเนื้อเยื่อหรืออวัยวะของสัตว์ ซึ่งส่วนมากจะเป็นแกะ เลือกอวัยวะส่วนเดียวกันกับมนุษย์ที่ต้องการจะทำการรักษา นำไปบดให้ละเอียดคัดเฉพาะเซลล์มาฉีดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์หรือผู้ป่วย สำคัญคือแกะที่ใช้นั้นจะต้องมาจากแกะที่เป็นสายพันธุ์พิเศษโดยเฉพาะ ไม่ใช่จากรกแกะตัวไหนก็ได้

 

 

นอกจากนี้การฉีดสเต็มเซลล์ที่มาจากรกแกะเอง ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า สามารถเห็นผล หรือใช้ได้จริง โดยปัจจุบันมีเพียงประเทศเยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์เท่านั้น ที่อนุญาตให้ใช้วิธีนี้ เพราะยังถือเป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ แต่ก็มีเพียงคลินิกไม่กี่ที่เท่านั้น ที่ยังใช้การฉีดสเต็มเซลล์จากแกะ หรือสเต็มเซลล์จากสัตว์อยู่ เพราะมีคนไข้หลายรายที่เสียชีวิต หรือเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการฉีดสเต็มเซลล์เหล่านี้

 

 

นอกจากจะมีการใช้ต้นกำเนิดของสเต็มเซลล์ที่เรียกว่า ข้ามสายพันธุ์แล้ว ยังมีเทคนิคการใช้หลากหลายมากกว่าฉีดแบบปกติทั่วไปอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเต็มเซลล์ อาหารเสริมที่มาจากสเต็มเซลล์ หรือแม้แต่การโฆษณาวิธีใช้แบบต่างๆ เช่น วางอาหารเสริมไว้ใต้ลิ้น เพื่อให้เซลล์เหล่านั้นละลายเข้าสู่ระบบต่างๆ ภายในร่างกายโดยอัตโนมัติก็ยังมี อีกทั้งในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างถึง สรรพคุณของสเต็มเซลล์ในด้านความงามอยู่เป็นจำนวนมาก และมีกลุ่มคนที่มีความเชื่อแบผิดๆ ว่า สเต็มเซลล์จากพืชและสัตว์ หรือแม้แต่สเต็มเซลล์จากรกเด็ก จะสามารถคืนความอ่อนเยาว์สู่ผิวหน้าได้จริง เทคนิคประหลาดแปลกใหม่เหล่านี้ ล้วนยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ทั้งสิ้น เพราะการศึกษาการใช้สเต็มเซลล์จากพืชหรือสัตว์ในมนุษย์นั้น ถือว่ายังไม่มีความเป็นไปได้เพียงพอต่อการปฏิบัติจริง

 

 

แต่ประโยชน์ที่ได้จากการสกัดเซลล์ของพืชและสัตว์นั้น ก็ยังมีอยู่บ้าง เพราะได้มีบทความอ้างอิงถึงคุณสมบัติที่ช่วยเสริมความงามจากเซลล์ของพืชหรือผลไม้ ว่ามีส่วนในการช่วยลดริ้วรอยและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนบนผิวของมนุษย์เราได้จริง ส่วนเซลล์ที่ได้จากสัตว์นั้น ก็ยังมีประโยชน์ในด้านการเสริมสมรรถภาพและการเสริมสุขภาพร่างกายตามการรักษาแบบแพทย์แผนโบราณนั่นเอง

 

 

“สเต็มเซลล์ตัวเอง” ล่ะ ใช้ได้ไหม

 

เทคนิคการฉีดสเต็มเซลล์ที่ถูกพูดถึงมาก นอกจากสเต็มเซลล์จากพืชและสัตว์นั้น ก็ยังมีการนำสเต็มเซลล์ของตัวคนไข้เองมาใช้อีกด้วย แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะยังไมมีผลจากการวิจัยและการยอมรับจากแพทย์อีกเช่นกัน แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้มีการวิจัยเกี่ยวกับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากเซลล์ที่เจริญเต็มวัย (Adult Stem Cell) ให้มีคุณสมบัติเสมือนเซลล์ต้นกำเนิด (Embryonic Stem Cell) นั่นเอง โดยเรียกว่า Induced Pluripotent Stemm Cells หรือ iPS Cells โดยจัดว่าเป็นเซลล์ต้นกำเนิดชนิดใหม่ เพราะมีแนวโน้มถึงความเป็นไปได้ที่สามารถนำมาใช้ทดแทนเซลล์ต้นกำเนิดของตัวอ่อนมนุษย์ ซึ่งเซลล์ iPS นี้สามารถสร้างได้จากเซลล์ของผู้ป่วยเอง มีความโดดเด่นกว่าเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อนตรงที่ สามารถสร้างเซลล์ต้นต่อที่เป็นสาเหตุของโรคและสามารถรักษาโรคนั้นได้ และแม้ว่า iPS จะยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองในสัตว์ทดลอง แต่ก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่วงการแพทย์ให้ความสำคัญและสนใจเป็นอย่างมาก เพราะผลจากการทดลองพบว่า iPS สามารถรักษาหนูที่เป็นโรคหัวใจให้กลับมาเป็นปกติได้จริง ซึ่งถือเป็นความหวังของวงการแพทย์ในอนาคต ที่จะใช้เซลล์ต้นกำเนิดชนิดใหม่นี้ ในการปลูกถ่ายอวัยวะเทียม เช่น ตับ หรือหัวใจ ของมนุษย์นั่นเอง

 

 

ข้อยืนยันทั้งหมดจึงสรุปอย่างง่ายได้ว่า เทคนิคการฉีดสเต็มเซลล์เพื่อยกกระชับผิวหน้า หรือชะลอวัยต่างๆ นั้น ยังไม่เป้นที่ยอมรับจากวงการแพทย์แต่อย่างใด การใช้ “สเต็มเซลล์” ในปัจจุบันสามารถใช้รักษาโรคเลือดได้ แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อีกทั้งเป็นการใช้เพื่อรักษาโรคไม่ใช่เพื่อความสวยงามแต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่าสเต็มเซลล์มีหน้าที่หลักในการช่วยฟื้นฟูสุขภาพในผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือด ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูผิวหรือใบหน้าให้กลับมาเต่งตึงขาวใสอย่างที่เข้าใจกัน รู้ทันความจริงแบบนี้แล้ว ก็ควรใช้วิจารณญาณที่มีอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อจากการถูกหลอกให้ไปเสียเงินฟรีแบบไม่ได้อะไรกลับมาเลย

(Some images used under license from Shutterstock.com.)