Haijai.com


ทำไมผู้ชายมีกลิ่นตัวมากกว่าผู้หญิง


 
เปิดอ่าน 7038

บอกลากกลิ่นกายคลายกลิ่นตัว

 

 

คุณผู้ชายหลายคนคงต้องหมั่นคอยเปลี่ยนเสื้อกันบ่อยๆ หรือชอบถอดเสื้อเดินไปมากันใช่ไหมล่ะ เพราะว่าเหงื่อที่ไหลออกมาง่ายๆ อย่างกับเพิ่งอาบน้ำใหม่ ซึ่งไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้นนะ แต่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ตามมาอีกด้วย เมื่อใครเข้าใกล้ต่างเป็นต้องร้องยี้ ทั้งที่เคยมีคนกล่าวว่ากลิ่นตัวของผู้ชายนั้น ออกจะหอม ชวนให้สาวๆ เข้าหา แต่ถ้ากลิ่นเหลานั้นมีมากจนเกินไป จากที่ว่าหอมก็เลยกลับกลายเป็นเหม็นได้ ซึ่งปัญหานี้คงทำให้หนุ่มๆ ทั้งหลายเสียเซลฟ์ไปตามๆ กัน วันนี้เรามีแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับหนุ่มๆ กันแล้วละ

 

 

ทำไมผู้ชายมีปัญหากลิ่นตัวมากกว่าผู้หญิง

 

เรื่องปัญหากลิ่นตัว เมื่อใครต้องประสบพบเจอก็คงจะไม่ปลื้มเท้าใดนัก เนื่องจากมักจะทำให้ใครก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้ หรืออาจสร้างความไม่มั่นใจเวลาต้องอยู่ในที่แออัด เพราะกลิ่นตัวของคุณคงจะฟุ้งเหม็นกระจายกันเลยทีเดียว และเรื่องกลิ่นตัวก็ไม่ได้เกิดกับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เพราะเพศชาย เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะเกิดกรเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ตั้งแต่เสียงเริ่มห้าว หน้ามัน มีหนวดเครา และกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอิทธิพลจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชายที่มีระดับสูงขึ้นมากนั่นเอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังรวมถึงกลิ่นตัวของผู้ชายที่เพิ่มมากขึ้นด้วย อีกทั้งผู้ชายยังมีต่อมเหงื่อมากกว่าผู้หญิง และไม่ค่อยดูแลสุขอนามัย

 

 

สาเหตุ

 

เหงื่อเป็นของเสียชนิดหนึ่งที่ร่างกายขับออกมาในรูปของเหลว โดยจะขับออกมาทางรูขุมขนบนผิวหนัง ซึ่งร่างกายของคนเรามีต่อมเหงื่อประมาณ 2-4 ล้านต่อม กระจายอยู่ทั่วร่างกาย รวมทั้งบริเวณหนังศีรษะและใบหน้า แต่จะมีมากสุดที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งโดยปกติแล้ว เหงื่อจะไม่มีกลิ่น แต่เหงื่อเต็มไปด้วยของเสียที่ร่างกายขับออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไขมัน โปรตีน หรือแป้งที่เรากินเข้าไป ซึ่งส่งให้เกิดกลิ่นตัวได้ โดยกลิ่นตัวก็คือ ภาวะที่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาจากผิวหนังร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะเป็นกลิ่นที่มาจากบริเวณ รักแร้ ขาหนีบ หรือบริเวณอวัยวะเพศ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต่อมเหงื่อที่ชื่อว่า Aprocrine จำนวนมาก ซึ่งมีหน้าที่สร้างสารที่มีกลิ่นคลายฟีโรโมน มีลักษณะเป็นสีขาวขุ่น และมีส่วนผสมของไขมันมาก โดยจะเริ่มทำงานเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือวัยรุ่นนั่นเอง ในระยะแรกที่เหงื่อหลั่งออกมานั้น จะยังคงไม่ส่งกลิ่นอะไร แต่เมื่อไปเจอกับแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น จึงทำปฏิกิริยากันจนเกิดเป็นกรดไขมันและแอมโมเนีย ทำให้เกิดเป็นกลิ่นเหม็นขึ้นมานั่นเอง นอกจากกลิ่นตัวจะมีสาเหตุจากธรรมชาติของร่างกายที่ทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียที่อยู่ตามผิวหนังแล้ว ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ที่ทำให้คนเรามีกลิ่นตัวได้ดังนี้

 

 สภาพอากาศ หากอยู่ในฤดูร้อน หรืออยู่ในสภาวะที่มีอากาศร้อนชื้น เชื้อแบคทีเรียจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ทำปฏิกิริยากับเหงื่อที่ไหลออกมาได้เร็วขึ้น ส่งผลให้กลิ่นตัวเกิดได้ง่ายและรุนแรงขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งเมื่อร่างกายได้รับความร้อนมาก จะทำให้สมองหลั่งสารเคมีชื่อ อะซีทิลโคลีน (Acetylchline) ซึ่งอยู่บริเวณปลายประสาท ทำให้เป็นการกระตุ้นต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อเพิ่มขึ้นด้วย

 

 

 เสื้อผ้า เสื้อผ้าที่หนาหรือเนื้อผ้าบางชนิด ไม่สามารถระบายเหงื่อหรือระบายได้ช้า จึงทำให้เกิดการอับชื้น ทำให้ปริมาณแบคทีเรียบนผิวหนังเพิ่มขึ้น และเกิดกลิ่นตัวได้ง่ายขึ้น

 

 

 อารมณ์ หากเกิดความเครียด โกรธ ตกใจ จะทำให้ไปกระตุ้นต่อมเหงื่อใต้รักแร้ หน้าผาก และฝ่ามือ ให้หลั่งเหงื่อออกมาจำนวนมากขึ้น ทำให้ผิวหนังเกิดความชื้น ส่งผลให้เกิดแบคทีเรียมากขึ้น และเมื่อทำปฏิกิริยากับเหงื่อ จึงส่งกลิ่นตัวขึ้นมา

 

 

 อาหารหรือยาบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ เป็นต้น เพราะอาหารหรือยาเหล่านี้ มีสารที่ขับออกมาทางเหงื่อ

 

 

 โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน เกาต์ ภาวะผิดปกติทางระบบเผาผลาญอาหาร ซึ่งร่างกายจะสร้างสารเคมีบางอย่างที่มีกลิ่น และขับออกมาทางเหงื่อ

 

 

นอกจากนี้กิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมาก หรือการออกกำลังกาย ก็จะทำให้เกิดเหงื่อได้มากขึ้น โดยต่อมเหงื่อ Eccrine จะขับเหงื่อออกมามาก

 

 

การรักษา

 

การหมั่นรักษาสุขอนามัย เช่น ดูแลความสะอาดของร่างกายให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การสระผม ก็ถือเป็นวิธีป้องกันและกำจัดปัญหาตัวต้นเหตุของกลิ่นตัว ได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งต้องเลือกใส่เสื้อผ้าที่ซักสะอาดและแห้งสนิท เพื่อไม่ให้เกิดการอับชื้น จนเป็นเหตุให้เกิดกลิ่นตัวได้ แต่หากยังไม่ดีขึ้น เจ้ากลิ่นตัวยังคงรบกวนอยู่ก็คงต้องพึ่งตัวช่วยต่างๆ ได้แก่

 

 ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มักจะอยู่ในรูปของลูกกลิ้ง สเปรย์ เจลแท่งหรือครีม ซึ่งจะมีส่วนผสมของอะลูมิเนียม คลอโรไฮเดรต ที่สามารถระงับกลิ่นกายได้ เพราะสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับเหงื่อ โดยทำให้เกิดการอุดตันที่ท่อต่อมเหงื่อชนิด Eccrine ส่งผลให้ระงับการหลั่งเหงื่อและลดความชื้นของผิวหนังใต้รักแร้ได้ ที่สำคัญควรใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทุกวัน เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ท่อของต่อมเหงื่ออุดตันอยู่เพียง 2-4 วันเท่านั้น แต่จะมีผลข้างเคียง คือ จะทำให้รักแร้ดำ เพราะสารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย จะซึมผ่านรูเปิดของต่อมเหงื่อ ทำให้ท่อต่อมเหงื่อบวมและเกิดการอุดตัน เมื่อใช้ในระยะยาวก็จะทำให้เกิดรอยด่างดำที่ใต้วงแขนได้ เพราะมีการสะสมของสารอะลูมิเนียมนั่นเอง

 

 

 สารส้ม เป็นผลึกสีขาวขุ่น เป็นเกลือเชิงซ้อนของสารประกอบที่มีธาตุอะลูมิเนียมและซัลเฟต ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดกลิ่นและแบคทีเรีย ปัจจุบันมีการนำสารส้มมาผลิตในรูปแบบที่หลากหลายน่าใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลูกกลิ้งแบบแท่ง แบบสเปรย์ เป็นต้น โดยจะใช้ทาบริเวณรักแร้ดำ และอาจเกิดการระคายเคืองได้

 

 

 ทำดีท็อกซ์กำจัดของเสียในร่างกาย การที่มีของเสียสะสมอยู่ในลำไส้จำนวนมาก อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ จึงเป็นการกำจัดของเสียในลำไส้ได้อย่างดี วิธีการส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กันก็คือ ใช้กาแฟในการสวนเข้าไปในรูทวาร แล้วปล่อยออกมา ซึ่งเป็นการชำระล้างของเสียออกมานั่นเอง สำหรับวิธีนี้แนะนำว่า ควรไปทำที่โรงพยาบาล จึงจะปลอดภัยและได้ผลที่สุด

 

 

 เบกกิ้งโซดาขัดตัว เบกกิล้งโซดามีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคและดูดซับกลิ่นได้เป็นอย่างดี จึงสามารถช่วยลดกลิ่นตัวได้ด้วย วิธีการส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในการกำจัดกลิ่น คือ นำเบกกิ้งโซดาผสมน้ำให้พอข้น แล้วนำมาพอกหรือขัดในบริเวณที่เกิดกลิ่นได้ง่าย เช่น รักแร้ ข้อพับต่างๆ หรือทั้งตัว ทิ้งไว้ประมาณไว้ 10 นาที แล้วล้างออก หรืออาจจะอาบน้ำผสมเบกกิ้งโซดาก็ได้ เพื่อเป็นการขัดเซลล์หนังที่ตายออกไปด้วย

 

 

 โบท็อกซ์ ใช้รักษาในผู้ที่มีปัญหาเหงื่ออกใต้รักแร้มากผิดปกติ โดยเป็นการฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณรักแร้ ซึ่งสารจะเข้าไปหยุดทำงานชั่วคราวและลดการกระตุ้นระบบประสาทที่ทำหน้าที่กระตุ้นต่อมเหงื่อ จึงทำให้เหงื่อออกน้อยลง หรือหยุดไหลได้ ส่งผลให้ไม่เกิดกลิ่นตัว ผลของการฉีดโบท็อกซ์พบว่า สามารถลดการไหลของเหงื่อได้นานประมาณ 4-12 เดือน ซึ่งระยะเวลาในการออกฤทธิ์นั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ข้อดีของวิธีนี้คือ ง่ายปลอดภัย เพราะได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังได้ผลดีมาก ผลข้งเคียงเกิดขึ้นก็น้อยมาก เช่น อาจเป็นตุ่มนูนแดงในบริเวณที่ฉีดประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะหายไปเอง แต่ราคาในการรักษาค่อนข้างสูงพอและต้องไปฉีดใหม่ทุก 8 เดือน

 

 

ในการรักษาลดกลิ่นตัวด้วยวิธีโบท็อกนั้น ก่อนเข้ารับการฉีดผู้ป่วยจะต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานมากไป ซึ่งหากเกิดอาการผิดปกติอื่นๆ จะไม่สามารถรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ได้ และหลังจากได้รับการรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้สารโบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรืออาจทำให้เกิดรอยแผลบริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์ได้ด้วย

 

 

 การดูดไขมัน เป็นการนำเครื่องมือดูดไขมัน เข้าไปจัดการทำลายเซลล์ต่อมเหงื่อ ให้เซลล์ต่อมเหงื่อตายไป และไม่สามารถผลิตเหงื่อออกมาได้อีก แต่วิธีการนี้มีข้อเสียค่อนข้างมาก เพราะได้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน และจัดเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก จึงอาจเกิดแผลเป็นขึ้นได้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสู จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก

 

 

 การใช้พลังงานความร้อนไปทำลายต่อมเหงื่อ วิธีการนี้เป็นการใช้พลังงานไมโครเวฟที่ชื่อว่า Mira Dry โดยใช้หลักการของการส่งพลังงานความร้อนลงไปทำลายต่อมเหงื่อ ซึ่งต่อมเหงื่อนั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ เมื่อพลังงานไมโครเวฟเข้าไปถึงที่ต่อมเหงื่อ พลังงานไมโครเวฟจะจับโมเลกุลของน้ำ และทำให้เกิดความร้อนที่ต่อมเหงื่อ เมื่อต่อมเหงื่อได้รับความร้อนมากๆ ก็จะถูกทำลายไป ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ ได้ผลค่อนข้างดี เพราะถือเป็นการกำจัดเหงื่อแบบถาวร มีความปลอดภัยสูง เพราะได้รับการรับรองจาก FDA สหัฐอเมริกา แต่ต้องทำ 2 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผล อีกทั้งยังมีความเจ็บปวด และค่าใช้จ่ายสูงมาก ที่สำคัญใช้ได้กับต่อมเหงื่อใต้รักแร้เท่านั้น

 

 

ต่อมาได้มีการนำพลังงาน RF หรือพลังงานคลื่นวิทยุมาใช้ ชื่อว่า Sweat X โดยมีหลักการทำงานคล้ายกันกับพลังงานไมโครเวฟนั่น คือ การส่งพลังงานคลื่นวิทยุไปจับกับโมเลกุลน้ำในต่อมเหงื่อ และทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนระหว่างโมเลกุลนับล้านครั้งต่อวินาที ในการส่งพลังงาน 1 ครั้ง จะทำให้เกิดความร้อนและทำลายเซลล์ต่อมเหงื่อ ซึ่งถือเป็นการหยุดการผลิตเหงื่ออย่างถาวร ข้อดีของวิธีนี้คือ ไม่เจ็บปวดขณะทำ และค่าใช้จ่ายต่อครั้งไม่สูงมาก แต่จะต้องใช้จำนวนในการรักษาหลายครั้งจึงจะเห็นผล

 

 

 การผ่าตัดหรือการฉีดยา เป็นการผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออกหรือการฉีดยา เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อที่อยู่ปลายรักแร้ วิธีการนี้มักจะใช้ในผู้ที่มีอาการเหงื่อออกรุนแรง หรือผู้ที่เป็นโรค Hyperhidrosis (ภาวะหลั่งเหงื่อมาก) เท่านั้น เนื่องจากวิธีการรักษาอื่นๆ ไม่สามารถใช้ได้ผล ซึ่งวิธีการนี้ต้องผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น ที่จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีรักษา

 

 

นับว่าวิธีการรักษาที่กล่าวมาเป็นทางเลือกที่ดีให้กับผู้ประสบปัญหากลิ่นตัว ซึ่งในแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะเลือกรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือควบคู่กันไปนั่น ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ความสะดวก และความรุนแรงของอาการ ซึ่งหากมีอาการรุนแรงมาก หรือต้องการรักษาให้หายขาดอย่างจริงจัง ก็ควรที่จะเข้าพบปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาให้หายขาดนั่นเอง

(Some images used under license from Shutterstock.com.)