© 2017 Copyright - Haijai.com
ฆ่าเซลล์มะเร็งด้วยน้ำมันมะกอก
ถือเป็นโรคที่ควรแก่การหวาดกลัวเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับเซลล์ร้ายที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคนอย่าง “มะเร็ง” เพราะส่วนมากแล้วเรามักจะได้ยินฤทธิ์ของโรคในด้านลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทรมานทั้งจากตัวโรค และระหว่างการรักษาโรค ซึ่งจัดว่าเป็นโรคที่พบได้มากและมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน สันนิษฐานได้ว่ามาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่มีความเกี่ยวข้องกับสารเคมีที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสารปนเปื้อนที่มาจากอาหาร สารเคมีที่มากับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ หรือพิษจากมลภาวะที่ประเดประดังถาโถมพร้อมเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่อีกล่ะว่า หากมีการตรวจพบมะเร็งได้แต่เนิ่นๆ จะยังสามารถทำการรักษาให้หายขาดได้อยู่ และในทางการแพทย์เองก็ยังคงมีการพัฒนาตัวยาใหม่ที่ใช้ได้จริงกันอยู่เรื่อยๆ จนเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการเปิดเผยถึงคุณสมบัติจากน้ำมันมะกอกว่ามีฤทธิ์ในการฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี ถือเป็นข่าวดีหากน้ำมันมะกอกจะช่วยชีวิตใครทุกคนให้พ้นจากทุกข์ที่มาจากมะเร็ง
มนุษย์ทุกคนมีเซลล์มะเร็ง
โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนแล้ว เราทุกคนล้วนมีเซลล์มะเร็ง (Cancer cells) อยู่ภายในร่างกาย แต่ยังไม่มีการปรากฏของโรคให้เห็นชัดเจนแต่อย่างใด เว้นเสียแต่มีการเพิ่มระดับจำนวนเซลล์มากขึ้นถึงพันล้านเซลล์ ซึ่งหมายถึงเซลล์มะเร็งในร่างกายนั้นจะเติบโต หรือเพิ่มจำนวนขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้นจากภายนอกสู่ภายในนั่นเอง โดยเซลล์มะเร็งในคนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ 6 ถึง 10 ครั้ง ต่อช่วงอายุของคนๆ หนึ่ง เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงพอ เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไมให้เกิดการขยายตัวจนกลายเป็นเนื้องอก หากใครตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง นั่นหมายถึง บุคคลนั้นมีความบกพร่องหลายอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงระบบพันธุกรรม หรือยีน ที่เป็นตัวกำหนดโรคของมนุษย์ทุกคน นอกจากนี้ยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น สิ่งแวดล้อม การสะสมปริมาณของควันพิษในแต่ละวัน และเรื่องของโภชนาการ เป็นต้น ทั้งนี้เซลล์มะเร็งจะมีการแบ่งตัวที่เร็วกว่าเซลล์ปกติ เป็นการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องและไม่มีการหยุด ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติจากภายนอกได้ เช่น ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกหรือเห็นเป็นก้อนเนื้อแข็งในส่วนของบริเวณที่เกิดโรค เป็นต้น
สื่อกระตุ้นเซลล์มะเร็ง
อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า เซลล์มะเร็งมีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน หากแต่ขาดการกระตุ้นจากภายนอกสู่ภายในจึงยังไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จะอยู่ในรูปแบบของการสะสมในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้เกิดจากการกระตุ้นเพียงครั้งเดียว หรือจากสิ่งๆ เดียว ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นต่อเซลล์มะเร็งมีดังนี้
• อาหารประเภทเนื้อ และอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลถือเป็นแหล่งอาหารสำคัญให้กับเซลล์มะเร็ง อีกทั้งอาหารจำพวกเนื้อก็ยังมีส่วนประกอบของยาฆ่าเชื้อ หากพบเชื้อปรสิตตกค้างอยู่ในเนื้อ ก็จะเป็นสิ่งกระตุ้นต่อการเจริญของเซลล์มะเร็ง รวมถึงอาหารที่มีรสเค็ม และอาหารประเภทหมักดองด้วย
• หลีกเลี่ยงคาเฟอีน เช่น กาแฟ หรือช็อกโกแลต เป็นต้น ทั้งนี้ควรเลือกดื่มชาเขียวจะดีที่สุด เพราะชาเขียวยังมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง และการเลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือน้ำที่ผ่านการกรองแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะของกรด ที่เป็นสิ่งกระตุ้นต่อเซลล์มะเร็ง
• ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี มักเกิดจากการใช้ของร่วมกับบุคคลอื่น เช่น แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็ก การสัมผัสกับเลือด หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีสาร อัลฟาทอกซิล (ซึ่งเป็นสารพิษชนิดหนึ่ง) พบจากเชื้อราที่ปนเปื้อนมาในอาหาร เช่น ถั่วลิสง หากมีการรับประทานเป็นประจำ จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้
นอกจากนี้สิ่งกระตุ้นที่นำไปสู่โรคมะเร็งก็ยังมาจาก การดื่มสุรา แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เป็นต้น แถมสารพิษจากควันบุหรี่นั้น ไม่ได้เกิดอันตรายเฉพาะผู้สูบเพียงผู้เดียว หากแต่เป็นอันตรายต่อผู้ที่สูดควันพิษเหล่านั้นเข้าไปด้วย ซ้ำยังเป็นอันตรายมากกว่าตัวผู้สูบเองอีกต่างหาก
ระดับความรุนแรงของเชื้อมะเร็ง
เซลล์มะเร็งมีระยะในการแบ่งตัวที่แตกต่างกันตามลำดับ เป็นการเจริญเติบโตที่อยู่เหนือการควบคุมจากร่างกาย และสามารถลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงผ่านกระแสเลือด หรือต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเรียกว่าเป็นการลุกลามแบบแพร่กระจาย โดยระดับความรุนแรงของมะเร็งมีอยู่ด้วยกัน 4 ระดับดังนี้
ระยะที่ 1 ขนาดของมะเร็งจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งขนาดเล็ก สามารถเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือตาเปล่า โดยมะเร็งในระยะแรกเริ่มนี้ จะยังคงอยู่เฉพาะอวัยวะที่เกิดมะเร็งเท่านั้น
ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มะเร็งสามารถกระจาย หรือลุกลามไปสู่อวัยวะ เนื้อเยื่อ และต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
ระยะที่ 3 เริ่มมีการแพร่เซลล์มะเร็งในระยะที่ไกลขึ้น โดยเป็นการกระจายผ่านต่อมน้ำเหลืองด้วยจำนวนที่มากขึ้น และถี่ขึ้น ส่วนมากจะเป็นการแพร่ในบริเวณใกล้เคียงของอวัยวะแรกเริ่มที่เกิดมะเร็ง
ระยะที่ 4 ถือเป็นระยะสุดท้ายของโรคมะเร็ง โดยเซลล์มะเร็งจะกระจายออกไปยังอวัยวะต่างๆ ซึ่งกลายเป็นก้อน หรือแผลมะเร็งที่มีขนาดโตมากแล้ว ทั้งยังเป็นการลุกลามที่รุนแรงมากที่สุด เพราะอาจเข้าทำลายเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะใกล้ต่างๆ จนเกิดการทะลุได้ นอกจากนี้ยังสามารถคลำเจอก้อนต่อมน้ำเหลือง ที่โตขึ้นได้อย่างชัดเจน โดยเซลล์มะเร็งสามารถลุกลาม แพร่กระจายสู่อวัยวะที่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ ลำไส้ สมอง หรือกระดูก เป็นต้น ระยะสุดท้ายนี้จะมีระยะเวลาที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของโรค และสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตามในกรณีของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในระยะแพร่กระจาย จะยังสามารถอยู่ในขั้นตอนการรักษาให้หายขาดได้ แต่หากผู้ป่วยอยู่ในระยะที่ 4 แล้ว จะเป็นการรักษาแบบประคับประคอง โดยเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ป่วยนั่นเอง
น้ำมันมะกอกออกฤทธิ์ฆ่าเซลล์
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส (Rutgers University) และวิทยาลัยฮันเตอร์ (Hunter College) ได้เปิดเผยถึงการศึกษาล่าสุดลงในวารสารเกี่ยวกับคุณสมบัติจากน้ำมันมะกอก ที่มีการค้นพบว่าสามารถช่วยปกป้องร่างกายมลพิษทางอากาศ เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยต่อต้านริ้วรอย และลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease หรือ AD) ได้อีกด้วย
ศาสตราจารย์เบรสลิน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์โภชนาการได้กล่าวว่า สาร Oleocanthal ที่สกัดได้จากน้ำมันมะกอกนั้น จะเข้าไปทำลายให้เซลล์มะเร็งให้เปราะบาง และอ่อนแอลง ซึ่งหมายถึงสาร Oleocanthal มีคุณสมบัติในการช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง อีกทั้งยังคงรักษาสภาพเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันให้คงอยู่ได้ตามปกติ และไม่ทำให้เกิดความเสียหายใดๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตามสาร Oleocanthal ก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์ และยังเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยไขมันดีที่จะช่วยรักษาสุขภาพของสมอง พร้อมช่วยปรับปรุงระบบหน่วยความจำภายในสมองด้วย โดยได้กล่าวต่ออีกว่าน้ำมันมะกอกที่ช่วยรักษาอาการป่วยโรคมะเร็งนั้น อาจต้องใช้โดส (Dose) หรือปริมาณของน้ำมันมะกอก เพื่อการรักษาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย ถึงปริมาณในการใช้รักษาต่ออาการผู้ป่วยมะเร็งในแต่ละแบบ และยังมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปฏิกิริยาของสาร Oleocanthal ทีตรงเข้สู่การฆ่าเซลล์มะเร็งได้อย่างรวดเร็ว โดยพวกเขาหวังว่าในอนาคตอันไม่ไกลนี้ น้ำมันมะกอกจะถือเป็นยาสำหรับรักษาโรคมะเร็งที่มีอยู่ตามโรงพยาบาลทั่วไปได้
นอกจากคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งแล้ว น้ำมันมะกอกยังมีประโยชน์เด่นเรื่องของการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอล ช่วยระบบการเผาผลาญอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ให้ทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่ว และยังพบระดับของกลูโคส (น้ำตาล) ที่ลดลงกว่า 12 เอร์เซ็นต์ ในผู้ที่เลือกรับประทานน้ำมันมะกอกด้วย
ปกป้องร่างกายให้ไกลมะเร็ง
วิธีหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัวเอง ไม่ให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง คือ การเอาตัวเองออกห่างปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย และสนใจที่จะบริโภคของที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย และสนใจที่จะบริโภคของที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย โดยการเลือกรับประทานผักสด และผลไม้ รวมถึงถั่วเปลือกแข็ง จะช่วยปรับร่างกายให้อยู่ในสภาพด่าง การดื่มน้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลล์ภายใน 15 นาที และยังเป็นการบำรุงร่างกาย ส่งเสริมการเจริญเติบโตขอเซลล์ที่ดี อีกทั้งพยายามเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในทุกๆ วัน และควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่ให้อ้วนหรือผอมจนเกินไป สำคัญคือต้องรู้จักกำจัดปริมาณการทานเนื้อแดง แป้ง ไขมัน น้ำตาล และเกลือ เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเป็นกิจกรรมที่อยู่คู่กันกับผู้ป่วย หรือผู้ที่ยังแข็งแรงทุกเพศทุกวัย คือ กิจกรรมการออกกำลังกาย ไปจนถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพอยู่เป็นระยะ ซึ่งหากมีการพบอาการของโรคก็จะสามารถเริ่มทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
วิธีรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน
การรักษามะเร็งในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของผู้ป่วย โดยมีตั้งแต่
• การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์ส่วนใหญ่เลือกทำ เพราะเป็นการตัดก้อนเนื้อมะเร็งออกโดยสิ้นเชิง เว้นเสียแต่มีการลุกลามของโรค แพทย์ก็จะทำการประเมินการรักษาต่อไป
• การรักษาด้วยการฉายแสง คือ การใช้รังสีเพื่อเข้าทำลายเซลล์มะเร็ง แต่วิธีนี้จะส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติเล็กน้อย และอาการข้างเคียงหลังฉายรังสี คือ ผู้ป่วยจะรู้สึกเพลีย ไม่มีแรง เป็นต้น
• การรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัด คือ การใช้สารเคมีหรือยาเข้าทำลายเซลล์มะเร็ง โดยจะมีทั้งแบบเม็ดแบบน้ำ แต่ส่วนมากแล้วแพทย์จะนิยมใช้แบบฉีดแก่ผู้ป่วย ซึ่งในกรณีของมะเร็งบางชนิด อาจต้องใช้ยามากกว่าหนึ่งชนิดขึ้นไป
• การรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนมะเร็งบางชนิด จะเกิดการแบ่งตัวผ่านฮอร์โมน ดังนั้น การให้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับของฮอร์โมนจะเป็นการทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต โดยส่วนใหญ่แล้ว วิธีนี้จะถูกนำไปใช้กับผู้ป่วย ที่เป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
(Some images used under license from Shutterstock.com.)