© 2017 Copyright - Haijai.com
จะผ่า (ไขมัน) หรือจะดูด (ไขมัน)
พุง หรือ หน้าท้อง เป็นปัญหาด้านรูปร่างที่กวนใจของใครหลายคน เพราะนอกจากจะลำบากทั้งในตอนเลือกซื้อหาเสื้อผ้าเพื่อมาอำพรางหุ่นแล้ว “พุง” ยังทำให้สูญเสียความมั่นใจเวลาที่ต้องเข้าหาคนอื่นอีกต่างหาก จึงไม่น่าแปลกใจที่บรรดาผู้ที่ต้องการเสริมบุคลิกให้ดูดี ต่างพยายามสรรหาวิธีการลดพุงที่ได้ผล ซึ่งต้องบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการดูแลตัวเอง และมีวินัยในการใช้ชีวิตนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการหมั่นเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยเผาผลาญ พลังงานที่รับประทานเข้าไป การควบคุมและเลือกรับประทานอาหารที่จะทำให้สุขภาพดี หุ่นสวย แต่ก็คงเพราะสภาพสังคมในปัจจุบันมีความเร่งรีบ และแข่งกับเวลาอยู่ตลอด อย่าว่าแต่จะแบ่งเวลาไปออกกำลังกายเพื่อลดพุงเลย แม้แต่การควบคุมอาหารในแต่ละมื้อที่รับประทาน ก็เป็นเรื่องที่ดูจะยุ่งยาก เสียเหลือเกิน
อีกทางเลือกหนึ่งก็คงต้องพึ่งวิวัฒนาการทางการแพทย์ เพื่อช่วยกำจัดไขมันที่สามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน และปลอดภัย รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่น้อยที่สุด ซึ่งวิธีที่คนนิยมเลือกใช้กันนั้นก็คือ การดูดไขมันและการผ่าตัดลดพุง แต่วิธีไหนที่ดีกว่าหรือแบบใดที่จะเหมาะสมมากกว่ากัน วันนี้เรามาไขข้อข้องใจให้คุณผู้อ่านได้รู้กัน
การผ่าตัดลดพุงหรือการดูดไขมัน ถือเป็นการศัลยกรรมด้วยกันทั้งคู่ ทั้งนี้ก็เพื่อลดขนาดหน้าท้องที่พุงพุ้ย ให้กลายเป็นหน้าท้องที่แบนราบอย่างที่คุณใฝ่ฝัน โดยการผ่าลดพุง (Tummy Tuck หรือ Abdominoplasty) คือ การตัดไขมันหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดเพื่อกำจัดไขมันและผิวหนังส่วนที่เกินบริเวณหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดเพื่อกำจัดไขมันและผิวหนังส่วนที่เกินบริเวณหน้าท้อง รวมทั้งการแก้ไขกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หย่อนยาน การผ่าตัดลดพุงนี้ จะช่วยให้หน้าท้องดูตึงขึ้น โดยจะทำการผ่ากรีดบริเวณใต้หน้าท้อง เพื่อนำไขมันส่วนเกินออก หลังจากนั้นจะดึงกล้ามเนื้อให้กระชับ ส่วนการดูดไขมัน (Liposuction) คือ การลดไขมันที่สะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยการใช้ท่อขนาดเล็กสอดเข้าไปในชั้นผิวหนังและดูดไขมันส่วนเกินออก ซึ่งวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าเปิดแผลกว้างในการดึงชั้นไขมัน แต่จะทำเพียงรอยเจาะช่องเล็กๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วใช้เครื่องมือสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง ในระดับชั้นไขมัน เพื่อดูดสิ่งที่ต้องการ ซึ่งคือไขมันออกมา
เทคนิคของการผ่าตัด และการดูดไขมัน
การผ่าตัดลดพุง
การผ่าตัดลดพุงแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ๆ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน
• การผ่าตัดแบบย่อ (Mini Lipectomy) เป็นการผ่าตัดกระชับเฉพาะส่วนล่างที่ต่ำกว่าสะดือ โดยจะตัดเฉพาะผิวหนังและไขมัน ซึ่งไม่ต้องตกแต่งสะดือใหม่ ใช้เวลาในการผ่าตัด 2-3 ชั่วโมง อาจต้องใช้ยาสลบหรือฉีดยาชา ทำแล้วจะได้ผลดีในผู้ที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีหน้าท้องส่วนบนหย่อนยาน
• การผ่าตัดแบบเต็ม (Total Lipectomy) เป็นการผ่าตัดกระชับหน้าท้องทั้งหมด โดยจะตัดหนังระหว่างสะดือถึงหัวเหน่าออกทั้งหมด เนื่องจากผิวเดิมที่อยู่เหนือสะดือ จะถูกดึงข้ามสะดือมาที่หัวเหน่า จึงทำให้ต้องย้ายสะดือใหม่ โดยจะใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2-4 ชั่วโมง จะเกิดรอยแผลผ่าตัดเหนือหัวเหน่า ซึ่งทำแล้วจะได้ผลดีกับผู้ที่เคยตั้งครรภ์มาก่อน
นอกจากนี้อาจใช้การผ่าตัดหน้าท้องร่วมกับการดูดไขมันด้วยก็ได้ คือ การผ่าตัดหน้าท้องแบบย่อหรือแบบเต็ม แต่ก่อนที่จะเย็บปิดแผล จะทำการดูดไขมันบริเวณข้างเพิ่ม เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันด้านข้างอยู่มาก โดยการดูดไขมันบางส่วนพร้อมการตัดไขมัน จะทำให้ไม่มีแผลเป็นเพิ่ม เนื่องจากดูดผ่านแผลผ่าตัดได้เลย
การดูดไขมัน
การดูดไขมันถือว่ามีการพัฒนาการที่สูงมาก จากแต่ก่อนที่อาจต้องเจ็บปวดจากการทำ แต่ในปัจจุบันพัฒนาการทางการแพทย์ได้สร้างสรรค์วิธีใหม่ขึ้นมา เพื่อลดข้อเสียของการดูดไขมันในอดีต โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
• การดูดไขมันแบบดั้งเดิม จัดเป็นวิธีที่เก่าแก่ที่สุด โดยการผ่าตัดแบบใส่ท่อที่มีแรงดูดสุญญากาศเข้าไปดูดไขมัน ซึ่งก่อนจะดูดไขมันแพทย์จะต้องออกแรงกระแทกหรือบีบอย่างแรง เพื่อให้ไขมันแตกออก จึงจะสามารถดูดออกมาจากร่างกายได้ ถือว่าเป็นการดูดไขมันที่มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากขั้นตอนการรักษาที่รุนแรงจะสร้างความบาดเจ็บให้กับเส้นเลือด เส้นประสาท ทำให้คนไข้มีอาการปวดเขียวช้ำระบมหลังการผ่าตัด รวมถึงอาจเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนได้ อีกทั้งหลังการดูดไขมันอาจพบปัญหาผิวเป็นคลื่นเป็นโพรงหรือเป็นลอนไม่เรียบ และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะคนไข้ถูกกระทบกระเทือนมาก
• การสลายไขมันด้วยคลื่นความถี่สูง หรือ VASER เป็นเทคโนโลยีการดูดไขมัน ด้วยการสลายไขมันจากพลังงานอัลตร้าซาวด์ ที่จะเปลี่ยนไขมันให้อ่อนนิ่มและเหลวมากขึ้น ก่อนที่จะทำการดูดออกมา โดยก่อนการทำการอัลตราซาวด์ อาจจะต้องใช้ยาชาหรือยาสลบ ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดและบริเวณที่ทำการดูดไขมัน จากนั้นแพทย์จะกรีดผิวหนังและสอดเครื่องมือขนาดเล็ก เพื่อปล่อยพลังงานอัลตร้าซาวด์ออกมา และเปลี่ยนไขมันให้มีลักษณะเป็นของเหลว จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการดูดไขมันต่อไป วิธีการนี้ สามารถสลายไขมันได้มากกว่าและผลข้างเคียงน้อยกว่าการดูดไขมันแบบดั้งเดิม แต่ข้อเสียคือ อาจพบปัญหาเรื่องความหย่อนยานของผิวหนัง ผิวเป็นคลื่นไม่สม่ำเสมอเป็นก้อนไตแข็งๆ ใต้ผิวหนัง และต้องระมัดระวังหากทำโดยแพทย์หรือบุคคลที่ไม่ชำนาญ อาจทำให้มีอาการขาดน้ำหรือหากดูดไขมันออกมาในปริมาณที่มากจนเกินไป ก็อาจเกิดอันตรายได้
• การดูดไขมันแบบ Body Tite เป็นนวัตกรรมการสลายไขมันแบบใหม่ โดยอาศัยเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radio-Frequency Assisted Liposuction) ในการดูดไขมัน เทคโนโลยีคลื่นวิทยุสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว ไขมันที่ดูดออกมาจะมีเลือดปนน้อย เมื่อเทียบกับการดูดไขมันวิธีอื่น เพราะสามารถห้ามเลือดในขณะทำได้ เพื่อลดการสูญเสียเลือด โดยแพทย์จะเจาะรูเล็กๆ บริเวณที่ต้องการกำจัดไขมัน แล้วให้คลื่นวิทยุเข้าไปละลายไขมันและดูดไขมันส่วนเกินออกทางรูนั้น ซึ่งการละลายไขมันก่อนที่จะดูดออกมานั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้เกิดบาดแผลและความบอบช้ำน้อย ช่วยลดอาการเจ็บปวด และอาการบวมหลังการดูดไขมันได้อย่างมาก ส่วนข้อเสีย คือ มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในการทำ
การผ่าตัดลดพุงกับการดูดไขมัน แบบไหนที่เหมาะกับตัวคุณ
• การผ่าตัดลดพุง เป็นการผ่าตัดขนาดใหญ่ กับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังส่วนเกินรอบท้องมาก มีอาการหย่อนคล้อยตรงท้องช่วงล่าง ท้องลายหรือมีอาการกล้ามเนื้อท้องยืดตัวอย่างรุนแรง เช่น ผู้ที่เคยผ่านการตั้งครรภ์ ซึ่งการผ่าตัดจะช่วยขึงผิวหนังให้ตึง รีดผิวหนังให้เรียบ ลดท้องลาย และทำให้หน้าท้องตึงได้สัดส่วน แต่ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ตรงบริเวณส่วนท้องช่วงล่าง และบริเวณหัวเหน่าได้ ซึ่งรอยแผลนั้นจะอยู่ต่ำกว่าเอว และเมื่อใส่กางเกงเอวต่ำ ก็ไม่อาจเป็นจุดสังเกตอย่างเห็นได้ชัด แต่การผ่าตัดลดพุงนั้น ก็ต้องมีการเตรียมจัดตารางเวลาให้ดี เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นนานเป็นสัปดาห์เลยทีเดียว
• การดูดไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกับระดับรูปร่างปกติ ซึ่งอาจมีไขมันเฉพาะส่วนและยังไม่จัดอยู่ในภาวะอ้วนอีกทั้ง ควรมีความตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณท้องที่ดี การดูดไขมันเป็นการขจัดไขมันส่วนเกินที่อยู่บริเวณใต้ผิวหนังและอยู่เหนือชั้นกล้ามเนื้อท้องขึ้นมา เพื่อช่วยลดปัญหาไขมันส่วนเกินในบางบริเวณเท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะอ้วนเกินพิกัด ในส่วนของระยะเวลาในการพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาในการพักฟื้นเพียงน้อยนิด เพราะการดูดไขมันใช้เวลาเพียง 2-3 วัน ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้แล้ว
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำศัลยกรรมผ่าตัดลดพุงและดูดไขมัน
การผ่าตัดลดพุงหากเป็นการทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และความชำนาญสูง ผลลัพธ์ที่ออกมาจะได้ผลดีมาก แต่การผ่าตัดไขมันจะมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป ซึ่งอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก เช่น มีเลือดคั่ง ติดเชื้อ แผลหายช้า และแผลนูน เป็นต้น ในขณะที่การดูดไขมันก็อาจเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่พบได้น้อย เช่น การติดเชื้อ มีเลือดคั่ง ผิวหนังเป็นลูกคลื่น ซึ่งเกิดจากการดูดไขมันในชั้นที่ตื้นเกินไป หรือดูดไขมันในบริเวณที่มีไขมันไม่มากพอ ผิวหนังหย่อนคล้อย เนื่องจากการดูดไขมันในผู้มีอายุมาก ความยืดหยุ่นผิวหนังไม่ดี รวมทั้งอาจเกิดผิวหนังเปลี่ยนสี รอยแผลเป็นอันเกิดจากแผลที่เปิดช่องเพื่อนำท่อเข้าไปดูดไขมัน
ทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจ
ในการตัดสินใจว่าจะเลือกวิธีการใดในการศัลยกรรมลดพุง สร้างหน้าท้องแบนราบ ควรศึกษาข้อมูล รวมทั้งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในประเด็นเรื่องของปัญหาและส่วนที่ต้องการกำจัดไขมัน ความปลอดภัย ความเสี่ยง ความรุนแรง ผลข้างเคียง ข้อดีและข้อเสียในแต่ละวิธี รวมถึงการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรมด้วย
โดยมีสิ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจในการผ่าตัดลดพุงก็คือ ควรลดน้ำหนักมาก่อนการผ่าตัด เพราะจะมีประโยชน์ในเรื่องผลของการกระชับมากขึ้น และลดอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับคนอ้วนได้ ที่สำคัญคือคนไข้ควรมีความพอใจต่อการมีบุตรแล้ว จึงจะเข้ารับการผ่าตัด เพราะหากมีบุตรหลังการผ่าตัด เมื่อคลอดบุตรแล้วท้องก็จะกลับมาหย่อนยานได้อีก และการผ่าตัดครั้งที่สองก็มักได้ผลไม่ดีเท่าครั้งแรกอีกด้วย อีกทั้งการผ่าตัดนี้จะไม่เกิดผลกับผู้ที่อ้วนจากอวัยวะภายใน เช่น ไขมันที่สะสมอยู่ตามลำไส้ เป็นต้น ที่สำคัญหลังการผ่าตัด ผู้ได้รับการผ่าตัดต้องดูแลแผลผ่าตัดเป็นอย่างดี และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็น การทำความสะอาดแผลการระวังแผลไม่ให้โดนน้ำในช่วง 2-3 วันแรกหลังผ่าตัด ต้องใสผ้ารัดหน้าท้องตลอดเวลาในช่วง 1 เดือนหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันแผลฉีกขาดและลดอาการบวม โดยอาการหลังผ่าตัดอาจมีรอยเขียวช้ำใน 3 อาทิตย์แรก แต่หากยังมีรอยเขียว ปวด บวม แดง ควรมาพบแพทย์อย่างเร่งด่วน สำหรับผลลัพธ์นั้นต้องบอกว่าเห็นผลค่อนข้างชัดเจนหลังทำกันเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมการผ่าตัดก็คือ แผลหลังการผ่าตัด ซึ่งระยะเวลาในการพักฟื้นของแผลจะช่วยให้จางลงไปเอง
การดูดไขมันที่สำเร็จผลนั้น มักเกิดขึ้นกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะไขมันที่สะสมอยู่ในเพศชายดูดยาก และใช้เวลานานกว่าเพศหญิง ในเรื่องของผลลัพธ์หรือเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของคุณว่าสามารถดูแลร่างกายได้อย่างถูกต้องหรือไม่ โดยควรใช้ผ้ายืดรัดกระชับรูปทรง ลดความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นลิ่มเลือด และเลือดคั่ง ที่สำคัญการรับประทาอาหารก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ควรใส่ใจ ควรหันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ หากปฏิบัติได้ตามนี้รับรองว่า ผลจากการดูดไขมันจะออกมาดีอย่างแน่นอน สำหรับระยะเวลาที่จะสามารถเห็นผลได้อย่างชัดเจน จะอยู่ที่ประมาณ 6 เดือน
สำหรับจุดประสงค์ในการดูดไขมันคือ เป็นเพียงการนำเอาไขมันที่อยู่ในตัวออก และหากคุณยังคงมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการมีไขมันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการชอบรับประทานอาหารประเภทแป้งน้ำตาลของทอด หรือการรับประทานมากกว่าการเผาผลาญ แน่นอนว่าไขมันก็จะกลับมาอยู่ในพุงของคุณอีกแน่นอน แล้วก็ไม่พ้นที่จะต้องกลับมาดูดไขมันอีกครั้ง เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอย่างมีวินัยในการเลือกรับประทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นวิธีที่จะทำให้คุณไร้ไขมันตามร่างกายอย่างถาวร การศัลยกรรมทั้งสองก็ยังเป็นการนำไขมันที่มีอยู่ในร่างกายออกเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะป้องกันไม่ให้ไขมันกลับเข้ามาในร่างกายคุณซ้ำใหม่อีก
ดังนั้น หากคุณยังตามใจปาก ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาอาหารตามอำเภอใจ หรืออ้างว่าไร้เวลาในการออกกำลังกาย ไม่ว่าคุณจะทำวิธีใดไขมันก็จะกลับมาอีกแน่นอน
(Some images used under license from Shutterstock.com.)