© 2017 Copyright - Haijai.com
อาหารเพื่อสุขภาพดวงตาของลูกน้อย
อาหาร นอกจากจะมีความสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกาย และสมองของลูกแล้ว อาหารยังมีความสำคัญต่อ ดวงตา ซึ่งเป็นประตูเปิดไปสู่การเรียนรู้โลกกว้าง เพื่อเจ้าตัวเล็กจะได้เติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเอาใจใส่ดวงตาของลูกน้อย โดยการหมั่นพาลูกไปตรวจเช็กสายตา และเลือกอาหารที่มีโภชนาการช่วยบำรุงดวงตาของลูกน้อยได้ค่ะ
สารอาหารบำรุงดวงตาสำหรับลูกน้อย
1.วิตามินเอ มีหน้าที่สำคัญคือ ช่วยในการสร้างเม็ดสีสำหรับการมองเห็นภาพในที่มืดนอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการรักษาเยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย เช่น เยื่อบุตาขาว เยื่อบุทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารให้คงสภาพปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันเชื้อโรคของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ได้แก่ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา น้ำนม โดยเฉพาะ ‘น้ำนมแม่’ ถือเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของวิตามินเอ นอกจากนี้ยังพบในผักที่มีสีเขียวเข้มและผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มซึ่งจะให้สารเบต้าแคโรทีน (โดยปกติร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนไปเป็นวิตามินเอได้ตามที่ร่างกายต้องการ) เช่น ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ฟักทอง แครอท มะละกอสุก กล้วย มะม่วงสุก เป็นต้น
2.ทอรีน คือกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง มีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ สติปัญญาและการมองเห็นในเด็ก นอกจากนี้ทอรีนยังช่วยทำให้ทารกดูดซึมไขมันที่จำเป็นต่อสติปัญญาและการเจริญเติบโตได้ดีขึ้นอีกด้วย อาหารที่อุดมไปด้วยทอรีน ได้แก่ น้ำนมแม่ (แต่ในนมวัวจะพบทอรีนน้อยมาก) เนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น สัตว์ปีก เนื้อหมู และอาหารทะเล เป็นต้น
3.ลูทีน ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องเซลล์รับภาพบริเวณจอประสาทตา ที่มีความสำคัญในการมองเห็นภาพของเราในชีวิตประจำวัน โดยลูทีนจะทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตาของมนุษย์ รวมถึงดวงตาเด็กที่ยังบอบบาง และทำหน้าที่สำคัญในการต้านปฏิกิริยาอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในดวงตาได้อีกด้วย นอกจากนี้ สารลูทีนยังถูกพบในสมองบริเวณที่เกี่ยวกับการมองเห็นมากกว่า 66% ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าน่าจะมีส่วนช่วยให้คนเรามองเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาหารที่อุดมไปด้วยลูทีน ได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม และผักหรือผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ผักโขม ผักบล็อกโคลี พริกหยวกสีเหลือง เป็นต้น
4.กรดไขมัน DHA (Decosahexaenoic acid) เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะด้านความจำ การเรียนรู้ และประสาทตา ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและการเชื่อมโยงของเซลล์สมอง ซึ่งจะทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดความจำและการเรียนรู้ ทั้งนี้ในสมองและประสาทตาของคนเราประกอบไปด้วยกรดไขมันหลายชนิด แต่ชนิดที่มีมากก็คือ AA และ DHA อาหารที่อุดมไปด้วย DHA ได้แก่ น้ำนมแม่ ปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาซาบะ ฯลฯ
พืชผักผักที่มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูง
1.ตำลึง อุดมไปด้วยวิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินซี นอกจากจะช่วยบำรุงสายตา แล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง หัวใจขาดเลือด และยังมีเส้นใยที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้
2.ผักหวาน มีทั้งแบบผักหวานบ้านและผักหวานป่า อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาทำให้มองเห็นในที่มืด เพิ่มความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกันเอาไว้ต่อสู้กับเชื้อโรค แคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง การยืดหดของกล้ามเนื้อก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วยค่ะ
3.แครอท อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งเซลล์ของมะเร็ง มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงและลดการเสื่อมของตา และยังมีแคลเซียมเพคเตทที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดการเกิดโรคหัวใจ และภาวะหัวใจล้มเหลว รวมทั้งมีสารต่างๆ ที่เป็นทั้งเกลือแร่และวิตามินอีกมากมาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1, บี 2 และวิตามินซี ช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนังและเส้นผมให้มีสุขภาพดีอีกด้วย
4.ฟักทอง เนื้อของฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งได้ เป็นผักที่กินได้ทั้งยอดอ่อน ดอกตูม ลูกฟักทองอ่อน และเนื้อฟักทองแก่ เพราะฟักทองมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันด้วย
5.มะเขือเทศ มีเบต้าแคโรทีนและฟอสฟอรัสสูง และยังมีโปแตสเซียม แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด คุณแม่รู้มั้ยคะว่า ในมะเขือเทศผลขนาดปานกลางจะมีวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล และมะเขือเทศ 1 ผลจะมีวิตามินเอมากถึง 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีกรดอะมิโนที่ชื่อ กลูตามิค สูง ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร และยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย จึงทำให้มะเขือเทศมีรสชาติที่อร่อยค่ะ
* ข้อมูลจากหนังสือ ตารางแสดงคุณค่าสารอาหารของไทย กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีสารอาหารบำรุงดวงตาและมีวิตามินเอสูง ที่จำเป็นและครบถ้วนสำหรับบำรุงดวงตาสำหรับลูกน้อย ที่หาง่ายและใกล้ตัวของคุณแม่มากที่สุดก็คือ ‘น้ำนมแม่’ นั่นเองค่ะ แต่หากคุณแม่ไม่สามารถให้น้ำนมลูกได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่สามารถเลือกอาหารที่มีโภชนาการบำรุงดวงตาให้กับลูกน้อยได้ เย็นนี้คุณแม่จะทำเมนูอาหารอะไรให้เจ้าตัวน้อยทานดีคะ???
ควรพาลูกไปตรวจดวงตาเมื่อไร และที่ไหนดี
ข้อมูลจาก American Optometric Association (AOA) แนะนำว่า การตรวจดวงตาทารกครั้งแรกในช่วง 6 เดือนความสำคัญมาก เพราะโรคเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่สามารถตรวจพบ และรักษาอาการผิดปกติของดวงตาได้ หากว่าได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
โดยระยะเวลาในการตรวจดวงตาของลูกครั้งแรก ควรเริ่มเมื่อลูกมีอายุ 6 เดือน ครั้งที่สองเมื่อลูกมีอายุ 3 ขวบ และครั้งที่สามคือก่อนเข้าโรงเรียน คุณแม่สามารถพาลูกไปตรวจตาได้ที่ โรงพยาบาลของรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับดวงตาได้ เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลราชวิถี และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีค่ะ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)