© 2017 Copyright - Haijai.com
ยาคุมกำเนิด
เมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ใครๆ ก็พูดกันว่าเป็นเดือนแห่งความรัก และมองกันว่าเป็นความรักระหว่างหนุ่มสาวมากกว่า ที่จะเป็นความรักระหว่างครอบครัวหรือผองเพื่อน ความรักระหว่างหนุ่มสาวนี้ มักมีเรื่องของเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากถึงวัยอันควรก็จัดการสู่ขอและแต่งงาน เกิดเป็นครอบครัวใหม่ มีเพศสัมพันธ์ได้ตามที่วางแผนครอบครัวว่าจะมีลูกเมื่อใดและจะมีลูกกี่คน ซึ่งทำได้โดยใช้ยาคุมกำเนิด แต่หากยังเป็นเด็กหรือวัยรุ่นก็ยังไม่ควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพราะหากมีเพศสัมพันธ์ก็จะมีโอกาสมีลูกตามมา ซึ่งเด็กหรือวัยรุ่นเป็นวัยที่ยังไม่พร้อมที่จะดูแลลูก ดังนั้น เด็กหรือวัยรุ่นหากจะมีเพศสัมพันธ์ก็ควรมีเมื่อพร้อมที่จะเป็นพ่อแม่
ทำไมการมีเพศสัมพันธ์ถึงทำให้มีลูกได้
โดยปกติรังไข่ของผู้หญิงจะมีไข่เป็นจำนวนมาก แต่ว่าแต่ละเดือนจะมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองมากระตุ้นให้ไข่สุก โดยใช้เวลาประมาณ 14 วันไข่ก็จะสุก และมีเพียง 1 ฟองเท่านั้นที่สุก จากนั้นไข่ที่สุกก็จะหลุดออกจากรังไข่ เรียกว่าเกิดการตกของไข่ ไข่ที่หลุดจากรังไข่จะเดินทางเข้าไปในท่อนำไข่ (บางครั้งเรียกว่าปีกมดลูก) และเดินทางต่อไปยังมดลูก หากผู้ชายและผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กันในช่วงวันที่ 14 นี้ อสุจิจากผู้ชายก็จะเข้าไปผสมกับไข่ได้ โดยการผสมนั้นจะเกิดที่ท่อนำไข่ แต่ถ้าผู้ชายและผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กันนอกช่วงนี้ อสุจิจากผู้ชายแม้จะเข้าไปในท่อนำไข่แต่ก็จะไม่พบไข่ที่สุก จึงไม่เกิดการปฏิสนธิ และอสุจิจะตายไปในที่สุด อย่างไรก็ตามอสุจิมีอายุประมาณ 3-9 วัน ดังนั้น การมมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ใกล้วันที่ 14 ผู้หญิงจะมีโอกาสสูงที่จะตั้งครรภ์และมีลูก อนึ่ง หากมีเพศสัมพันธ์แล้วไม่มีประจำเดือนแสดงว่าตั้งครรภ์ แต่ก็ต้องไปตรวจปัสสาวะเพื่อยืนยันต่อไป
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร
การป้องกันไม่ให้ตั้งครรภ์ทำได้หลายวิธี เริ่มตั้งแต่วิธีธรรมชาติคือไม่มีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ไข่สุก วิธีนี้มีชื่อเรียกว่า “การนับระยะปลอดภัย” นั่นคือ หากจะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยสามารถทำได้ 2 ช่วง คือ ช่วงวันที่ 1-7 และช่วงวันที่ 22-28 ของรอบเดือน อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะใช้ได้ดี เฉพาะในผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือนที่ออกตรงเวลาสม่ำเสมอเท่านั้น
วิธีธรรมชาติอีกวิธีหนึ่งคือการหลั่งภายนอก แต่วิธีนี้มีโอกาสพลาดได้มาก การสวมถุงยางอนามัยครอบองคชาตก่อนที่จะหลั่งน้ำอสุจิ จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่า ทั้งนี้ผู้ชายควรระมัดระวังในการสวมถุงยางอนามัย กล่าวคือไม่ใช้สารหล่อลื่น ไม่ดึงถุงยางอนามัยจนตึงติด แนบแน่นกับปลายองคชาติ แต่ควรเหลือช่องว่างไว้เล็กน้อยระหว่างปลายองคชาตกับถุงยางอนามมัย และเมื่อถอดออกมาต้องสังเกตว่ามีรูรั่วหรือไม่ หากพบรูรั่วก็มีโอกาสที่เพศสัมพันธ์ครั้งนั้นทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้
การให้ผู้หญิงรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนับเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิผลดีมาก ข้อที่อาจทำให้ผู้หญิงไม่ชอบยาเม็ดคุมกำเนิดก็คือ การที่ต้องรับประทานยาทุกวัน หากลืมก็จะทำให้ไข่มีโอกาสสุก และมีการตกของไข่ตามมาได้ ยาคุมกำเนิดในรูปแบบอื่นๆ จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมา ได้แก่ แผ่นคุมกำเนิดติดผิวหนัง วงแหวนคุมกำเนิดสอดช่องคลอด ห่วงอนามัยคุมกำเนิดสอดช่องคลคอด ยาฉีดคุมกำเนิด และยาคุมกำเนิดฝังใต้ผิวหนัง รูปแบบยาเหล่านี้ไม่ต้องเปลี่ยนทุกวัน จึงมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็มีราคาแพงกว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างไร
ก่อนอื่นต้องทราบว่ายาเม็ดคุมกำเนิดบรรจุเป็นแผงมี 2 แบบ เป็นแผงละ 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด โดยแผง 21 เม็ด จะเป็นเม็ดฮอร์โมน ทั้ง 21 เม็ด ส่วนแผง 28 เม็ด จะเป็นเม็ดฮอร์โมน 21 เม็ด และเม็ดแป้ง 7 เม็ด ทั้งนี้วิธีรับประทานที่ถูกต้องคือ เมื่อเริ่มยาแผงแรกให้เริ่มรับประทานเม็ดฮอร์โมนในวันแรกของการมีเลือดประจำเดือน จากนั้นให้รับประทานยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด ตามทิศทางของลูกศรที่ปรากฏบนแผง เมื่อรับประทานครบ 21 เม็ด หากเลือกใช้แบบแผงละ 21 เม็ด ก็ยังไม่ต้องเริ่มแผงต่อไป แต่ให้เว้น 7 วัน ซึ่งในช่วง 7 วันนี้จะมีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมา เมื่อหยุดครบ 7 วันแล้ว จึงเริ่มแผงต่อไป แต่กรณีที่เลือกใช้แบบแผงละ 28 เม็ด เมื่อรับประทานเม็ดฮอร์โมนครบ 21 เม็ด ก็จะมีเม็ดแป้งอีก 7 เม็ดอยู่ในแผง ให้รับประทานเม็ดแป้งนี้ต่อไป เสมือนรับประทานยาเม็ดฮอร์โมน คือ รับประทนวันละ 1 เม็ด ซึ่งในช่วงที่รับประทานเม็ดแป้ง 7 เม็ดนี้จะมีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมา เมื่อรับประทานจนหมดแผง 28 เม็ดแล้วให้ต่อแผงใหม่ได้เลย
ในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนี้ ควรรับประทานตอนเย็นหรือก่อนนอน เพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงของฮอร์โมน อาการนี้มักหายไปได้เองในเวลาประมาณ 3 เดือน หากมีอาการมากและอาการไม่หายไป ควรตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หากไม่ตั้งครรภ์ก็ควรเปลี่ยนยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิด หากรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดแล้ว มีสิวขึ้น มีหนวด หรือขนขึ้นตามใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อเปลี่ยนยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิด
ความตรงเวลาและความสม่ำเสมอในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมีความสำคัญมาก หากลืมก็จะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ในกรณีที่ลืมมีคำแนะนำดังนี้ คือ
• หากลลืมรับประทานยา 1 เม็ด ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้เวลาที่จะรับประทานมื้อต่อไปให้รับประทานเป็น 2 เม็ด พร้อมกันไปเลย วันรุ่งขึ้นจึงรับประทานเม็ดต่อไปตามปกติ นอกจากนี้ควรป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย
• หากลืมรับประทานยา 2 เม็ด ให้รับประทานยา 2 เม็ดนั้นทันทีที่นึกได้ วันรุ่งขึ้นรับประทานอีก 2 เม็ด หลังจากนั้นจึงรับประทานยาวันละ 1 เม็ดต่อไปตามปกติ และควรป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย
• หากลืมรับประทานยา 3 เม็ด ให้หยุดยาแผงนั้น และรอให้มีเลือดประจำเดือนมา จึงเริ่มยาแผงใหม่ ในระหว่างนี้ให้ใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินมีอันตรายหรือไม่
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีตัวยาเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่สังเคราะห์ขึ้นเช่นเดียวกับเม็ดคุมกำเนิดที่กล่าวมาแล้ว โดยเป็นฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสโตเจนเท่านั้น และมีปริมาณสูง โดย 1 แผงมียา 2 เม็ด ใช้ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ที่มีการป้องกันแล้วเกิดอุบัติเหตุ เช่น ใช้ถุงยางอนามัย แต่เมื่อถอดถุงยางออกจากองคชาตแล้วพบว่าถุงยางรั่ว หรือใช้ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้ป้องกันหรือถูกข่มขืน ยาจะได้ผลดีต่อเมื่อรับประทานยาภายในเวลาไม่เกิน72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยให้รับประทานเม็ดแรกทันทีภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ หลังจากนั้นอีก 12 ชั่วโมง จึงรับประทานเม็ดที่สอง หรือเพื่อกันลืมก็ให้รับประทานยา 2 เม็ดครั้งเดียวเลย หลังจากรับประทานยาแล้วภายในเวลาไม่เกิน 5 วัน ควรมีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมา และจะมีปริมาณเลือดออกมาค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลจากปริมาณฮอร์โมนที่สูงนั่นเอง
ผู้หญิงบางรายอาจรู้สึกสะดวกสบายในการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพราะไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการใช้ยาคุมฉุกเฉินหลายชุดในเดือนเดียวกัน จะทำให้มีการเสียเลือดมากจนเป็นอันตรายได้ จึงไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อ
ภญ.บุษบา จินดาวิจักษณ์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)