
© 2017 Copyright - Haijai.com
ลบรอยแผลเป็น อวดผิวสวย เนียนใส
ถึงแม้ผิวของคุณจะขาวมากแค่ไหน แต่ถ้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนูน ดำ แผลเป็นหลุมสิว ริ้วรอยร่องลึก ก็คงจะไม่นับว่าเป็นผิวขาวสวยเนียนอยู่ดี และปัญหาผิวพรรณเหล่านี้ต่างก็ทำให้หมดความมั่นใจ ต้องคอยปกปิดจุดบกพร่องของร่างกายนี้เอาไว้ แต่เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาช่วยรักษารอยแผลเป็นมากมาย ดังนั้น อย่าปล่อยให้ผิวพรรณของคุณหม่นหมองอยู่เลย มาทำให้ผิวขาวเรียบเนียนสวยบลิ๊งค์แบบสุดๆ ด้วยการกำจัดปัญหาผิวพรรณอันหลากหลายนี้ออกไปอย่างได้ผลกัน
การเกิดแผลเป็น
แผลเป็น (Scar) เกิดจากความผิดปกติในกระบวนการหายของแผล กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของร่างกาย เพื่อรักษาบาดแผล มีการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็น (Fibrous Collagen) มาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป แผลเป็นนั้นอาจเกิดจากบาดแผลชนิดต่างๆ เช่น แผลจากอุบัติเหตุ แผลผ่าตัด แผลจากการอักเสบของสิว แผลจากโรคสุกใส แผลจากากรฉีดวัคซีน แผลไฟไหม้ เป็นต้น
ซึ่งความผิดปกติในกระบวนการหายของแผลนั้น เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลเป็น ได้แก่ อายุ เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ ขนาดและความลึกของแผล ตำแหน่งที่เกิดบาดแผล การหายของแผลไม่ดี การสูบบุหรี่ สภาพผิวหนัง การติดเชื้อ น้ำหนัก โรคภัยไข้เจ็บของคนไข้ ปัจจัยภายในร่างกายของคน หากคนในครอบครัวมีลักษณะของการเกิดแผลเป็นง่าย ตัวคนไข้เองก็อาจมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ง่ายเช่นกัน พฤติกรรมของคนไข้ที่มักจะแคะแกะ เกา แผลที่ยังไม่หายดี จึงทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นมา ดังนั้น เพื่อเป็นการทำให้กระบวนการซ่อมแซมบาดแผลของร่างกาย เป็นไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด ควรรอให้กลไกของร่างกายของเรานั้น มีการทำงานที่สมบูรณ์ก่อน คนไข้ควรหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าต่างๆ ที่จะทำให้เกิดแผลเป็น หมั่นดูแลทำความสะอาดแผลไม่ให้เกิดการติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกาแผล ไม่ควรโดนสะเก็ดของแผล ก่อนที่ผิวภายในจะซ่อมแซมตัวเองได้
ลักษณะของรอยแผลเป็น
ลักษณะของรอยแผลเป็น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แผลเป็นเนื้อนูน (Hypertrophic Scar) ซึ่งหมายรวมถึงแผลเป็นชนิดคีลอยด์ (Keloid) ซึ่งเกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนมากเกินไป ทำให้เกิดผิวหนังที่มีลักษณะนูนและแข็งกว่าผิวโดยทั่วๆ ไป แผลเป็นเนื้อนูนมักจะไม่กว้างออกไปกว่าตำแหน่งเดิมที่เป็นอยู่ แต่แผลเป็นคีลอยด์มักจะลามออกไปมากกว่าขอบของแผลเดิม และแผลเป็นหลุมลึก (Atrophic Scar) ซึ่งเกิดจากร่างกายสร้างคอลลาเจนไม่พอดีกับขอบของแผล จึงทำให้เกิดเป็นหลุมลึกต่ำกว่าระดับผิวปกติ ซึ่งแผลเป็นทุกชนิดต่างสร้างความรำคาญให้กับคนไข้ทั้งร่างกายและจิตใจ แผลเป็นอัตราการเกิดเท่าๆ กัน ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่มีโอกาสที่จะเกิดสูงสุดในช่วงอายุประมาณ 20-30 กว่าปี โดยตำแหน่งที่เกิดรอยแผลเป็นได้ง่ายส่วนใหญ่ มักพบมากบริเวณ คาง คอ ไหล่ หน้าอก และแผ่นหลัง เพราะมีการขยับเขยื้อนบ่อย เช่น การหายใจเข้า-ออก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของหน้าอก ทำให้เกิดแผลเป็นนูนได้ง่าย หรือบริเวณที่มีผิวหนังหนา ส่วนบริเวณที่มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้น้อยคือใบหน้า
ป้องกันการเกิดแผลเป็น
การป้องกันการเกิดแผลเป็น เป็นการลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลังจากเกิดบาดแผลแล้ว ต้องมีการดูแลแผลที่เหมาะสม ทั้งจากแผลที่เกิดขึ้นเองและแผลที่เกิดจากการผ่าตัดศัลยกรรม มีการทำความสะอาดแผลที่ดี ไม่ปล่อยให้แผลสกปรก ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ไม่แคะ แกะ เกา สะเก็ดแผล ควรให้สะเก็ดหลุดลอกออกไปเอง ลดการดึงรั้งในตำแหน่งที่เกิดบาดแผล ดดยลดการเคลื่อนไหว ขยับเขยื้อนให้น้อยลง หากเป็นแผลผ่าตัดควรนำไหมเย็บแผลออกในเวลาที่เหมาะสม คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ควรควบคุมดูแลภาวะโรคเรื้อรังให้อยู่ในภาวะปกติ ทายาป้องกันแผลเป็น เมื่อเกิดแผลเป็นแล้ว อาจใช้การนวด ใช้แรงกดโดยการพันแผลด้วยผ้าพันแผลชนิดผ้ายืด (Elastic bandage) เพื่อลดการขยับเขยื้อน การใช้สารโบท็อกซ์ การใช้สารสเตอรอยด์ การใช้ซิลิโคนเจลแปะแผลเอาไว้ในการรักษาร่วมด้วย
การรักษาแผลเป็น
แนวทางการรักษาแผลเป็นนั้นมีหลายวิธีด้วยกัน ในกรณีที่แผลเป็นนูนมีขนาดใหญ่มาก อาจจะต้องตัดแผลนั้นออกแล้วทำการตกแต่งใหม่ หรือใช้การฉีดยาเพื่อละลายพังผืดในก้อนแผลเป็น เพื่อให้แผลมีขนาดเล็กลงได้ โดยต้องทำการฉีดหลายครั้งด้วยกันจนกว่าแผลจะแบนราบ โดยแต่ละคนแต่ละบริเวณใช้เวลาในการรักษาไม่เท่ากัน ขึ้นกับขนาดและตำแหน่งที่เกิดแผลเป็น นอกจากนี้ยังมีการรักษาโดยการใช้เลเซอร์เพื่อลดการทำงานของเส้นเลือด เพื่อชะลอการสร้างคอลลาเจนไม่ให้มีมากจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้แผลยุบตัวลงได้
การใช้เทคโนโลยีจากเครื่อง Fractional Laser ซึ่งเป็น Sublative RF ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาแผลเป็น โดยเป็ฯการสลายพังผืด ช่วยให้แผลเรียบเนียนและจางลง อันเป็นผลมาจากการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวแบบจุดต่อจุดใต้ผิวหนัง เป็นวิธีที่เห็นผลการรักษาอย่างรวดเร็ว สามารถรักษารอยแผลเป็นจากหลุมสิวได้ดี โดยเฉพาะหลุมสิวหรือแผลเป็นที่มีมานาน ซึ่งมีพังผืดยึดอยู่อย่างเหนียวแน่น รวมทั้งเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย คนไข้ไม่เจ็บตัว ไม่เกิดบาดแผล และยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ให้เกิดขึ้น เพื่อผิวที่อ่อนนุ่มและเรียบเนียน รอยแผลเป็นจะค่อยๆ จางหายลบเลือนไป โดยต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง
สำหรับการรักษาแผลเป็นหลุมนั้น ต้องใช้หลักการโดยกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีวิธีการตั้งแต่การผลัดผิวแบบใช้ผงคล้ายเกร็ดอัญมณีขัด ในกรณีที่หลุมแผลไม่ลึกมาก จะช่วยทำให้หลุมผิวตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นได้ โดยอาจต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายๆ ครั้ง รวมทั้งใช้เทคนิคกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวด้วยการกลิ้งเข็มเล็กๆ บนรอยบุ๋ม นอกจากนี้อาจใช้พลังงานในกลุ่มเลเซอร์เย็น เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เกิดการเติมเต็มของแผลหลุมสิวจากก้นแผลด้านล่างขึ้นมาได้ สำหรับกรณีแผลเป็นหลุมที่มีความลึก แพทย์อาจใช้การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกหรือรอยบุ๋มนั้นให้มีความตื้นขึ้น
แผลเป็นนูนมีสีดำคล้ำทำอย่างไร
แผลเป็นนูนดำ เกิดจากากรที่ผิวหนังมีการอักเสบ โดยมีการตกเม็ดสีที่ผิวหนัง จากผิวหนังส่วนบนไปยังผิวหนังส่วนล่าง ซึ่งเมื่อเกิดการอักเสบของผิวหนัง ก็มีโอกาสที่จะเกิดรอยคล้ำขึ้นได้ การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำและไม่แคะแกะเกาแผล จะทำให้แผลดำที่ผิวหนังหายเร็วกว่าส่วนอื่นๆ การขัดถูเพื่อให้สีผิวบริเวณแผลเป็นนูน เพื่อให้เกิดความขาวขึ้นนั้น ไม่ส่งผลใดๆ แต่กลับทำให้เกิดความระคายเคืองกับผิวมากยิ่งขึ้น ทำให้แผลมีรอยคล้ำ ช้ำ ดังนั้น หากมีรอยดำที่ผิวหนังไม่ควรขัดถู ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ทาครีมกันแดดปกป้องผิว ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินเอ กรดผลไม้ AHA เป็นต้น ทำไวท์เทนนิ่งทรีตเม้นท์ที่เป็นการผลักตัวยาเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวขาวใสขึ้น รวมถึงการใช้นวัตกรรมทางการแพทย์อย่างการใช้เลเซอร์ IPL Laser หรือ Dual yellow laser ก็สามารถช่วยได้
การรักษาแผลเป็นแต่ละชนิด สามารถทำการรักษาหลายวิธีร่วมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลเป็น โดยตัวคนไข้และแพทย์จะต้องวางแผนในการรักษาร่วมกัน หากคนไข้สงสัยว่าวิธีการดังกล่าวที่พูดมานี้ จะสามารถทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนสนิท เหมือนผิวปกติที่ยังไม่มีบาดแผลหรือไม่นั้น ผลที่ได้รับจากการรักษาอาจไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจดีขึ้น 50-80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆ อย่าง เช่น สภาพผิวของคนไข้ อายุของแผลเป็น ว่าเป็นมายาวนานมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งปริมาณของพังผืดที่ยึดเกาะด้านล่างของรอยแผลเป็นมีจำนวนมากหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งการรักษาหลายวิธีร่วมกัน จะสามารถช่วยลดร่องรอยแผลเป็นที่รบกวนจิตใจและร่างกายของคนไข้ออกไปได้ โดยคนที่ต้องการักษาเรื่องปัญหารอยแผลเป็นนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากผิวหนังของคนเรามีความแตกต่างกัน ซึ่งหลังจากทำการรักษาแล้ว รอยแผลเป็นนูน แผลหลุมสิว และริ้วรอยต่างๆ ก็จะเริ่มจางลง คนไข้ควรดูแลตัวเองด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดที่มีความแรง ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานผักผลไม้ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารที่มีน้ำตาลมาก พักผ่อนให้เพียงพอ การดูแลแผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการเกิดแผลเป็นลงได้
ปัจจุบันต้องยอมรับว่านวัตกรรมทางการแพทย์ที่นำมารักษาเรื่องความงามนั้น ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีวิธีการที่ช่วยรักษารอยแผลเป็นนูน แผลเป็นหลุมสิว และแผลเป็นคีลอยด์ ได้เป็นอย่างดี หากทำการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ ผลการรักษาก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการรักษาปัญหาต่างๆ ดังกล่าวสามารถรักษาในหลายๆ วิธีร่วมกัน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Sublative RF เข้ามาร่วมรักษา แต่อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลเป็น รวมทั้งการร่วมกันวางแผนรักษาระหว่างแพทย์และคนไข้ โดยส่วนใหญ่แล้วผลการรักษาจะดีขึ้นประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)