© 2017 Copyright - Haijai.com
ไวรัสโรต้า มันมากับหน้าหนาว
ย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว ดูเหมือนว่าปีนี้อากาศจะหนาวกว่าปีที่แล้วมากทีเดียว หากร่างกายเราปรับตัวไม่ทันก็อาจล้มป่วยลงได้ แล้วนับประสาอะไรกับลูกน้อยล่ะคะ ที่ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำทำให้เชื้อโรคเล่นงานเขาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเชื้อโรคที่มาพร้อมกับอากาศหนาวที่อันตรายและน่ากลัว คงหนีไม่พ้น ไวรัสโรต้า (Rotavirus)
รู้จักกับไวรัสโรต้ากันก่อน
ไวรัสโรต้า เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุหลักของโรคลำไส้อักเสบในทารกและเด็กเล็ก ทำให้เกิดอาการอาเจียนและท้องร่วงรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดน้ำมากที่สุด ไวรัสโรต้าเป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมาก ชอบแฝงตัวอยู่ตามสิ่งของ เช่น ของเล่นเด็ก และสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายชั่วโมง อยู่ได้นานเป็นวันๆ ซึ่งหากลูกน้อยนำสิ่งของหรือมือที่เปื้อนเชื้อโรคเข้าทางปาก ก็จะทำให้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าไปได้อย่างง่ายดาย
อาการที่บ่งบอกว่าลูกน้อยโดนไวรัสโรต้าเล่นงานเข้าแล้ว
1.หลังจากเด็กได้รับเชื้อประมาณ 1-2 วัน จะมีอาการเริ่มต้นด้วยการมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน กรณีที่อาการไม่รุนแรง อาการไข้และอาเจียนมักจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน
2.อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือถ่ายเป็นฟองหลายๆ หน บางคนอาจมีน้ำมูกไหลและไอร่วมด้วย อาการท้องเสียอาจเป็นนานได้ถึง 7-10 วัน
อันตรายถึงชีวิต
1.อาการอาเจียนและท้องเสียนั้น เด็กบางคนอาจมีอาการไม่รุนแรง เพียงดูแลตามอาการก็จะดีขึ้นจนหายไปได้เอง แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงจนทำให้กินอาหารไม่ได้ ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้
2.ในรายที่เป็นรุนแรง เชื้อไวรัสโรต้าจะทำลายเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้น้ำย่อยที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมมีปริมาณลดลง ทำให้เกิดอาการท้องเสียมากขึ้น ถ่ายเหลวกะปริดกะปรอย ท้องอืด เวลาถ่ายจะมีแก๊สหรือลมออกมาด้วย ถ่ายเป็นอุจจาระพุ่ง และผิวหนังบริเวณก้นรอบทวารหนักจะมีผื่นแดง ถ้ายังให้เด็กกินนมตามปกติจะยิ่งทำให้มีอาการท้องเสียเรื้อรังไม่หายและเป็นโรคขาดอาหารได้ ดังนั้นการดูแลรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้ลูกหายเร็ว ไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนเกิดผลเสียหรืออันตรายต่อชีวิต
ไม่มียา แล้วรักษาอย่างไร
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยเหลือลูกเบื้องต้นก่อนพาลูกไปหาหมอได้ ดังนี้
1.ให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่ที่เหมาะสำหรับเด็กท้องเสีย อาจจะเป็นชนิดน้ำสำเร็จรูปหรือผงเกลือแร่ละลายน้ำต้มสุกก็ได้
2.ให้ลูกจิบหรือดื่มน้ำเกลือแร่ทีละน้อยแต่บ่อยๆ ไม่ควรให้ลูกดื่มครั้งละมากๆ เพราะเขาจะอาเจียนหรือถ่ายเหลวออกมาหมด
3.ไม่ควรใช้น้ำอัดลมและน้ำเกลือแร่ชนิดขวดสำหรับนักกีฬาผสมให้ลูกดื่ม เพราะปริมาณน้ำตาลและเกลือแร่ไม่เหมาะสมกับเด็ก
4.ถ้าลูกมีภาวะขาดน้ำอย่างรวดเร็วและรุนแรงคือ นอนซึม ไม่เล่น ไม่ร่าเริงเหมือนตามปกติ ปากแห้งมาก ปัสสาวะน้อยลงหรือปัสสาวะสีเหลืองเข้ม เบ้าตาโหล ให้รีบพาลูกส่งโรงพยาบาลทันที
จะป้องกันได้อย่างไร
1.ล้างมือให้ลูกน้อยบ่อยๆ
2.รักษาสุขอนามัยของสมาชิกในบ้าน และบริเวณที่ลูกชอบเล่น รวมถึงหมั่นล้างของเล่นเสมอๆ
3.เตรียมอาหารของลูกน้อยให้สุก สะอาด ถูกสุขลักษณะ โดยการผ่านความร้อน
4.การดื่มนมแม่จะช่วยให้ลูกมีภูมิคุ้มกันได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะติดเชื้อไวรัสโรต้าก็จะไม่มีอาการหรือมีน้อย เพราะภูมิคุ้มกันในนมแม่ช่วยในการกำจัดเชื้อได้
5.ปัจจุบัน มีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าชนิดกิน ซึ่งเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง มีความปลอดภัยสูง ใช้ได้อย่างสะดวก ช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคไวรัสโรต้า
• เด็กในวัย 6 เดือนถึง 2 ขวบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากไวรัสโรต้าได้มากที่สุด
• ครึ่งหนึ่งของทารกที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคอุจจาระร่วง มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโรต้า
• เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบแทบทุกคนต้องเคยติดเชื้อไวรัสโรต้าอย่างน้อย 1 ครั้ง
• ไวรัสโรต้าทำให้เด็กทั่วโลกต้องเข้าโรงพยาบาลมากกว่า 2 ล้านครั้งต่อปี
• 3 อาการเด่นของโรคคือ ไข้ อาเจียน และถ่ายเหลว
• การดูแลความสะอาดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันไวรัสโรต้าได้
นพ.พรเทพ สวนดอก
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ
ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)