
© 2017 Copyright - Haijai.com
ความหวังใหม่ในการรักษามะเร็งเต้านม
ปัจจุบันอัตราการรอดชีวิตของผู่ปวยมะเร็งเต้านมมีมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีการรักษาที่ดีขึ้น เช่น การตรวจพบมะเร็งเร็วขึ้น การผ่าตัดและฉายรังสีทำได้เฉพาะจุดมากขึ้น การค้นพบยาใหม่ที่เหมาะสมกับสภาพของก้อนเนื้อ ตลอดจนการวิจัยวัคซีนป้องกันมะเร็งเต้านม เป็นต้น
ในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา การรักษามะเร็งเต้านมได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่พบได้มาก จะเป็นรองก็เฉพาะมะเร็งปอด จึงเป็นโรคที่มีความสำคัญมาก ในโลกนี้มีการตรวจพบมะเร็งเต้านมประมาณ 1 ล้านรายต่อปี อุบัติการณ์ของมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นเรื่อ่ยๆ จนกระทั่งปี ค.ศ.1999 ซึ่งในช่วงเวลาตั้งแต่ ค.ศ.1999-2006 อุบัติการณ์ก็ลดลงประมาณ 2% ต่อปี การลดลงของอุบัติการนี้ เกิดจากการที่ผู้หญิงเริ่มลดการใช้ฮอร์โมนเพศหญิงทดแทนในวัยหมดประจำเดือน และลดการตรวจคัดกรองมะเร็งโดยการเอกซเรย์ (mammogram) เพราะเอกซเรย์โดยตัวของมันเองเป็นสิ่งก่อมะเร็งได้ (ลดลงจาก 70.1% ในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปในปี ค.ศ. 2000 เหลือ 66.4%% ในปี ค.ศ. 2005)
การมีชีวิตอยู่รอดจากโรคนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน อัตราการอยู่รอด 5 ปี อยู่ที่ 63% ในช่วงต้นปี ค.ศ.1960 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 75% ในปี ค.ศ.1975-1977 จากนั้นเป็น 79% ในปี ค.ศ.1984-1986 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 90% ในปี ค.ศ.1995-2005 กลุ่มที่มีอัตรา การอยู่รอดเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือหญิงอายุต่ำกว่า 50 ปี โดยมีอัตราการตายลดลง 3.2% ต่อปี ส่วนหญิงอายุมากกว่า 50 ปี อัตราการตายลดลง 2% ต่อปี การลดลงของอัตราการตายจากโรคนี้ น่าจะมีสาเหตุมาจากการวินิจฉัยที่ทำได้เร็วขึ้น (จากการเอกซเรย์เต้านม) การรักษาที่ดีขึ้น และการลดลงของอุบบัติการณ์ของมัน (การกินฮอร์โมนเพศหญิงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้อุบัติการณ์ของโรคนี้เพิ่มขึ้น)
ปัจจุบันนี้การรักษามะเร็งเต้านมได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเมื่อก่อนนี้มีการรักษาโดยการผ่าตัดใหญ่ ตัดเอาเต้านมออกพร้อมทั้งกล้ามเนื้อใต้เต้านม และต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันนั้นออกไป (เนื่องจากสมัยก่อนพบมะเร็งในระยะเป็นมากๆ ด้วย) จนถึงปัจจุบันนี้การผ่าตัดลดขนาดลงมาก เนื่องจากมะเร็งที่มาให้รักษานั้น ได้รับการตรวจพบเร็วขึ้น ก้อนที่ตัดออกจึงมีขนาดเล็กลง และเนื่องจากความรู้ความเข้าในเรื่องมะเร็งเต้านม ได้เพิ่มพูนดีขึ้นมาก ทำให้มีการเลือกสรรการรักษาให้เป็นไปตามลักษณะทางพยาธิวิทยา ชีววิทยาของเนื้อมะเร็งและสภาวะของคนไข้แต่ละคนได้
ปัจจุบันนี้ในประเทศพัฒนา (ในที่ที่มีศักยภาพ) ผู้หญิงที่มีมะเร็งระยะเริ่มแรก มักจะได้รับการผ่าตัดแบบตัดเฉพาะก้อนเนื้องอกออกพร้อมกับขอบเนื้อดีไม่มาก (ถนอมเนื้อเต้านมส่วนใหญ่ที่ดีไว้) และตัดต่อมน้ำเหลืองในรักแร้ออกบางส่วน แล้วหลังจากนั้นจะได้รับการฉายแสงเฉพาะที่ และยาป้องกันการกลับมาเป็นใหม่ของโรค (ถ้าเนื้อมะเร็งมีตัวชี้ว่ามันไวต่อยานั้น) การรักษาที่แม้จะไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ แบบนี้ก็ยังได้ผลดีกว่าสมัยเก่า
การรักษาในปัจจุบันนี้ทำไปตามการตรวจพบลักษณะของมะเร็งในแต่ละปัจเจกบุคคล เขามีการตรวจไปถึงระดับโมเลกุลในเซลล์มะเร็งมากมาย ซึ่งเรียกว่าการตรวจหา biological marker ตัวอย่างเช่น ตรวจเซลล์มะเร็งหาตัวรับฮอร์โมนเพศหญิงที่เรียกว่า estrogen receptor (ER) มะเร็งตัวใดมี ER ก็จะมีความไวต่อยาต้าน estrogen (ฮอร์โมนเพศหญิง) เช่น tamoxifen จึงทำให้เมื่อให้ยาตัวนี้หังจากการผ่าตัดเต้านมดังกล่าวแล้ว จะสามารถลด (ป้องกัน) การกลับมาเป็นใหม่ของมะเร็งเต้านมในนมที่เหลือได้มาก
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ มะเร็งตัวใดที่ตรวจ biological marker ที่เรียกว่า HER2 ได้เป็นบวก แสดงว่ามันมีความก้าวร้าว เมื่อมันแพร่กระจายไปในร่างกายในสมัยก่อนหายารักษายาก แต่ปัจจุบันนี้มียาที่สามารถต้านมันได้ คือ trastuzumab ทำให้คนไข้มีชีวิตยืนยาวขึ้นมาได้อีก แต่มีข้อเสียคือราคาแพงมาก
ปัจจุบันมีการพัฒนาการรักษา โดยใช้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายให้สร้างตัวต้านทานมาทำลายเซลล์มะเร็ง ขณะนี้มีวัคซีนต้านมะเร็งที่ชื่อว่า NeuVax กำลังได้รับการทดลองทางคลินิกในระดับนานาชาติหลายสถานบัน นำโดย Elizabeth Mittendorf ซึ่งเป็นศักยแพทย์มะเร็งที่สถานบันเอ็มดีแอนเดอร์สัน (เท็กซัส) วัคซีนนี้ประกอบด้วยสารเปปไทด์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ จากโปรตีนจากมะเร็งบวกกับสารกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ผลการทดลองในระยะต้น บ่งชี้ว่ามันสามารถลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นใหม่ได้ถึง 50% ในคนไข้มะเร็งเต้านมชนิดที่มีสาร biological marker ที่เรียกว่า HER2 ระดับต่ำๆ (HER2 บ่งชี้ว่ามะเร็งนั้นมีลักษณะดุร้าย) ปกติถ้าไม่มีวัคซีน มะเร็งเหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการกลับเป็นขึ้นมาใหม่ 20% เขาจึงให้วัคซีนเข้าไปป้องกันในขณะที่มีเซลล์มะเร็งเหลืออยู่น้อยๆ หรือไม่มีเลย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานมะเร็งขึ้นมา
ในเรื่องการฉายแสงเต้านมก็มีการพัฒนาให้ดีขึ้น มีการฉายแสงให้ถูกเฉพาะที่เป็นมะเร็งมากขึ้น เพื่อป้องกันอันตรายระยะยาวของรังสีต่ออวัยวะที่อยู่ข้างเคียง เช่น หัวใจและปอด ทำให้ได้ผลดี และมีผลเสียข้างเคียงน้อยลง ส่วนการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่งมักจะทำใหมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก ก็มีการพัฒนายาต้านอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ดีขึ้นกว่าเก่า
สรุปแล้วการเป็นโรคมะเร็งเต้านมยังดีกว่าเป็นมะเร็งอย่างอื่นหลายอย่าง เนื่องจากมีการวินิจฉัยและรักษาที่ดีขึ้นกว่าเก่ามาก ทำให้อยู่รอดชีวิตได้มากกว่าเก่ามาก ไม่ใช่ตายลูกเดียว เป็นมะเร็งแล้วยังมีความหวัง ขอให้มีความศรัทธาในการรักษาแผนปัจจุบัน ทุกอย่างที่พัฒนาขึ้นมานี้ต้องอาศัยการลงทุนวิจัยมาก และยังพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดมักจะมีราคาแพง มีคำกล่าวว่าพิษร้ายของการรักษามะเร็งในบางระยะในปัจจุบัน ไม่ใช่การมีผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน แต่คือ “ราคาค่างวดที่แพงมาก” สำหรับเมืองไทยทเราในระยะแรกๆ นี้ โครงการบัตรทองคงจะยังไม่ไหวแน่
นพ.นริศ เจนวิริยะ
ศัลยแพทย์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)