© 2017 Copyright - Haijai.com
หยุดปัญหาสิวขึ้นที่เดิมๆ
สิวเป็นปัญหาความงามยอดนิยมที่มักสร้างความน่ารำคาญใจให้กับหนุ่มสาว เพราะเมื่อมีปัญหาสิวเกิดขึ้นแล้วย่อมมีปัญหาเรื่องผิวหน้าตามมาด้วย ความจริงแล้วสิวเป็นผลมาจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศชายออกมา ซึ่งเมื่อประกอบกับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น เหงื่อของตัวเอง มลภาวะฝุ่นควัน สารเคมีในเครื่องสำอาง หรือแม้แต่อาหารที่บริโภคเป็นประจำก็ทำให้เกิดการกระตุ้นการผลิตเม็ดสิว หากเราแก้ไขได้อย่างตรงจุดปัญหาสิวก็จะหมดไปเอง แต่สำหรับใครที่ปัญหาสิวยังไม่ยอมหมดไปง่ายๆ เราขอแนะนำว่าลองอ่านข้อมูลที่เรานำมาฝากต่อไปนี้ ไม่แน่ว่าอาจช่วยจบทุกปัญหาสิวที่เคยมีมาหลายปีก็ได้
สิวเกิดจากการอุดตันไขมันบริเวณรูขุมขน
ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เราจึงควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของผิวพรรณของเรา เพราะชั้นผิวหนังประกอบไปด้ยต่อเหงื่อ ต่อมไขมัน ต่อมสร้างกลิ่น เส้นประสาท หลอดเลือด และหลอดน้ำเหลือง หากระบบการทำงานของระบบผิวหนังผิดปกติ ที่จะแสดงอาการออกมาในรูปของเม็ดสิว โดยกระบวนการเกิดเม็ดสิวนั้น เริ่มจากการที่ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากทำให้อุดตันอยู่ที่รูขุมขน ประกอบกับร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเกิดการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตไขมันออกมามากกว่าเดิม โดยตำแหน่งของร่างกายที่เกิดสิวได้ง่ายที่สุดก็คือใบหน้า ไหล่ หลัง และอกตามลำดับ นอกจากนี้แล้วกระบวนการเกิดสิวยังสามารถเกิดได้จากการถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น กรรมพันธุ์ การเสียดสีบริเวณที่เหงื่อออกมาก เช่น การสวมแว่นตา สวมหมวกสะพายกระเป๋า ขอบยกทรง สารเคมีในเครื่องสำอางต่างๆ และยาบางชนิด ส่วนอาการสิวขึ้นจากการแพ้อาหารบางชนิดนั้น ความจริงแล้วมีเพียงส่วนน้อยมาก
ฮอร์โมนเพศหญิงช่วยลดกระบวนการเกิดสิว
ระดับความรุนแรงของการเป็นสิวนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่อุดตันในรูขุมขน โดยปกติแล้วต่อมไขมันที่มีหน้าที่ผลิตไขมัน และมีท่อเปิดออกสู่รูขุมขน เพื่อให้ไขมันออกมาหล่อลื่นผิวหนังภายนอก หากต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากจนเกินไป ก็ทำให้รูขมขนอุดตันเกิดเป็นเม็ดสิวได้ โดยธรรมชาติแล้วต่อมไขมันแต่ละตำแหน่งมีขนาดและความหนาแน่นไม่เท่ากัน เช่น บริเวณใบหน้าจะมีต่อมไขมันขนาดใหญ่และหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น เราจึงพบสิวบริเวณใบหน้าบ่อยกว่าตำแหน่งอื่น ส่วนต่อมไขมันจะถูกผลิตมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนแอนโดรเจนและเทสโทสเทอโรนไปกระตุ้นเซลล์ต่อมไขมัน ที่เรียกว่า ซีโบไซต์ให้ผลิตไขมันออกมามาก ในขณะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนช่วยยับยั้งการสร้างไขมันบริเวณต่อมไขมัน
เป็นสิวเรื้อรังเพราะร่างกายขาดสมดุล
ลองสังเกตตัวเองดูว่า หากเรามักจะมีสิวขึ้นบริเวณตำแหน่งเดิม รักษาอย่างไรก็ไม่หายสักที ให้สงสัยไว้เลยว่า ร่างกายขาดสมดุลของระบบทั้ง 3 ประการต่อไปนี้
1.ระบบพลังงานขาดสมดุล คือ การที่อาหารไม่ย่อย มีกรดไหลย้อน เป็นโรคกระเพาะ อวัยวะตับทำงานหนัก และระบบการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ
2.ระดับโมเลกุลขาดสมดุล คือ การสะสมตกค้างของสารพิษในอาหาร เช่น การดื่มกาแฟมากเกินไป ทำให้มีอาการท้องผูก การดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้ร่างกายขาดความชุ่มชื้น
3.สภาพจิตใจไม่สมดุล คือ การที่สภาพจิตใจอยู่ในภาวะเศร้าหมอง ตึงเครียดเป็นเวลานาน เกิดเป็นผลกระทบต่อกลไกการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย
สิวหายช้ามักทิ้งรอยแผลเป็น
รอยแผลเป็นสิวเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อต้านเชื้อโรคเป็นผลให้เกิดการอักเสบบริเวณต่อมไขมัน เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวมาเก็บพวกเชื้อโรค และเซลล์ที่ตายแล้ว ประกอบกับปฏิกิริยาของการอักเสบทำให้เกิดพังผืดบริเวณเนื้อเยื่อ บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เมื่อนานเข้าเส้นเลือดฝอยจะน้อยลง และมีการสร้างคอลลาเจนเข้ามาแทนที่ ซึ่งจะกลายเป็นรอยแผลลักษระรอยแดง รอยดำคล้ำ มีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงดำ วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันรอยดำจากสิว คือ ไม่บีบหัวสิวเอง และต้องทำให้สิวยุบให้เร็วที่สุด
รักษาสิวไม่หายอาจเพราะผิวติดสเตียรอยด์
คนส่วนใหญ่อาจมองว่าการที่ผิวติดสเตียอยด์เป็นเรื่องไกลตัว จนลืมไปว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของเราทุกวันนี้ อาจมีส่วนประกอบของสเตียรอยด์แฝงอยู่ก็ได้ ทำให้การรักษาปัญหาผิวเรื่อง สิว ฝ้า กระ และจุดด่างไม่หายขาดเสียที วิธีการสังเกตเมื่อผิวของเรามีอาการติดสเตียรอยด์จากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้อยู่คือ เมื่อใช้ในระยะแรกๆ ได้ผลดีมาก หน้าเกลี้ยงไม่มีสิวขึ้น แต่เมื่อหยุดใช้กลับเกิดเม็ดสิวขึ้นมาเต็มใบหน้ามากกว่าเดิม สาเหตุหลักคือ สารสเตียรอยด์มีคุณสมบัติระงับอาการอักเสบของกระบวนการเกิดสิวนั่นเอง ข้อเสียของการใช้สารชนิดนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานคือ สุขภาพของผิวจะค่อยๆ อ่อนแอลงทำให้การบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่ได้ผล บางครั้งเกิดอาการแพ้เป็นผื่นแดงหายช้าอีกด้วย การฟื้นฟูอาการผิวติดสเตียรอยด์นั้น ไม่ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ เลยทันที ควรค่อยๆ ลดปริมาณการใช้ลง แล้วหมั่นล้างหน้าเป็นเวลาด้วยน้ำเย็น (ช่วงเวลาเช้าและเย็นเท่านั้น) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้าควรเป็นสูตรอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย
ลักษณะของสิวเรื้อรังที่มาจากการแพ้สเตียรอยด์
เม็ดสิวขึ้นจากการแพ้สเตียรอยด์สามารถสังเกตได้ดังนี้ สิวขึ้นพร้อมกับผื่นแดงในบริเวณนั้นๆ เม็ดสิวมีลักษณะแดงมีขนาดเท่านกัน เม็ดสิวใหญ่และมีอาการอักเสบร่วมด้วย สิวจะขึ้นกระจายไปทั่วใบหน้าและลามไปตามตำแหน่งอ่นเช่น ลำคอ หน้าอก และแผ่นหลัง สิวเหล่านี้จะส่งผลต่อสุขภาพใบหน้าให้อ่อนแอลง ผิวบางลง บางรายเห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจน หากใครมีสิวลักษณะนี้ควรงดการทำเลเซอร์
โรคแทรกซ้อนจากการเป็นสิว
ปัญหาสิวนับว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างมากสำรหับคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายเป็นสิวง่าย เพราะต้องคอยระวังเรื่องการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ตั้งแต่ขั้นตอนการเช็ดทำความสะอาดไปจนถึงขั้นตอนการบำรุง อีกทั้งยังต้องคอยระวังเรื่องสารสเตียรอยด์ในครีมบำรุงอีกด้ว ซึ่งหากสุขภาพผิวหน้าของใครอ่อนแอมาก ก็สามารถพบปัญหาที่มากับปัญหาสิวได้นั่นคือ โรคผื่นอักเสบบริเวณผิวมัน (Seb-deram) มีลักษณะผิวหนังอักเสบแห้งเป็นขุยบริเวณกลางใบหน้าตั้งแต่ตำแนห่งเหนือคิ้ว หัวคิ้ว ข้างจมูก ซอกจมูก ไรผม หลังหู ต้นคอ และหน้าอก อาการเริ่มแรกคือแห้ง ลอกเป็นขุย มีผื่นแดงเป็นบริเวณกว้างขึ้นและมีอาการคันร่วมด้วย อาการเหล่านี้เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ผิวหนังที่ยังไม่เจริญเติบเต็มที่ แต่ได้เคลื่อนตัวมาที่บริเวณผิวหนังชั้นบนเร็วเกินไป เซลล์ใหม่เหล่านี้ยังไม่แข็งแรงพอที่จะทนต่อสารใดๆ เมื่อสัมผัสกับสารเคมีจึงทำให้เกิดการอักเสบ บวมแดง และหลุดลอกออกมาในที่สุด ผู้ที่มีลักษณะอาการเหล่านี้มักจะรู้สึกแสบร้อนผิวหน้า เมื่อเวลาโดนแสงแดด หรือหากเข้ารับการทำเลเซอร์ก็จะปรากฏลักษณะของผิวแดง รู้สึกแสบทั่วใบหน้า
หลักการในการรักษาสิวเรื้อรัให้หายขาด
1.ควบคุมการผลัดเซลล์ผิวให้ทำงานเป็นไปตามปกติ
2.ควบคุมการทำงานของต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมาเป็นปกติ
3.ลดปริมาณการสะสมของแบคทีเรียตามรูขุมขนที่เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบ
4.ลดระดับการอักเสบของเม็ดสิวเพื่อป้องกันการเกิดเป็นรอยดำ หรือรอยแผลเป็น
เทคนิคยอดนิยมในการแก้ไขปัญหาสิวและผิวพรรณ
สิวที่เกิดจากการอุดตันบางประเภท เช่น สิวหัวดำ สิวอุดตันและสิวอักเสบ อาจเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง ซึ่งสิวประเภทดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้ในเวลาไม่นาน อีกทั้งเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ ก็สามารถรักษาสิวและยังช่วยแก้ไขปัญหาผิวพรรณที่เป็นผลมาจากสิวด้วย แต่ในกรณีที่เป็นสิวจากการแพ้สารเคมีหรือเป็นผลข้างเคียงจากยาที่ใช้อยู่ ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์สั่งยาได้ตรงกับสาเหตุการเกิดของสิว เทคนิคในการรักษาสิวในปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมใหม่มากมาย โดยกรณีที่คนไข้เป็นสิวไม่มากนัก แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาทาร่วมกับวิธีอื่นๆ เช่น ยาในกลุ่มวิตามิน A ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น หรืออาจจะใช้กรดในกลุ่ม TCA เพื่อกระตุ้นแผลเป็นหลุมลึกที่เกิดจากสิว หรือการใช้สาร AHA ร่วมกับ CP (Hydroxy acid & Copper Pep tide) ในการจัดการแผลเป็นให้เร็วขึ้น โดย AHA จะไปสกัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดออก และสาร CP ปรับสภาพเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น ถือเป็นวิธีที่ดีมากในการผลัดเซลล์ผิว ลดรอยแผลเป็น จุดด่างดำและกระเนื้อ อาจช้เวลารักษาหลายเดือนกว่าจะเห็นผล ในบางคลินิกอาจใช้ AHA/BHA ในปริมาณที่เข็มข้นขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้ตัวยาในปริมาณ 30-60% ย่อมมีผลข้างเคียง เช่น ระคายเคือง หรือผิวไหม้ได้
กรณีที่มมีรอยแผลเป็นด้วยและเป็นสิวด้วยการรักษาด้วยไอออนโตโฟโนนั้น ไม่แนะนำ เพราะทำแล้วอาจไปกระตุ้นการเกิดสิวให้มากกว่าเดิม โดยวิธีไอออนโต (IONTO) และโฟโน (PHONO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยากลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ หากรักษาด้วยวิธีนี้บ่อยครั้งจะส่งผลให้ผิวหน้าบางลงและเกิดการแพ้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่คลินิกรักษาสิวโดยทั่วไป จะแนะนำให้คนไข้รักษาสิวให้หายก่อน ค่อยรักษาผิวด้วยวิธีนี้
สำหรับวิธีการฟื้นฟูสภาพผิวหลังเป็นสิวนั้น อาจใช้วิธียิงเลเซอร์ได้สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เลเซอร์ชนิดมีแผล เช่น คาร์บอนไดอ๊อกไซด์เลเซอร์ หลังทำเลเซอร์มักมีสะเก็ดแผลอยู่นานประมาณ 1 อาทิตย์ หลังจากนั้นผิวหนังจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นสู่สภาวะปกติ เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล หรือ Non-ablative Laser ที่มีความยาวคลื่นเหมาะสมสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง และเลเซอร์กรอผิว เช่น Fractional Laser เป็นเทคโนโ,ยีที่ได้รับความสนใจกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างจากการยิงเลเซอร์แบบมีแผล เนื่องจากการทำลายผิวส่วนบนจะน้อยกว่าทำให้แผลหายเร็ว เห็นผลชัดเจนและเกิดผลข้างเคียงน้อย
การดูแลตัวเองก่อน-หลังทำเลเซอร์
ก่อนเข้ารับการทำเลเซอร์ คนไข้ควรป้องกันไม่ให้ใบหน้าโดนแดดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากเลเซอร์ที่อาจเกิดขึ้นหลังการรักษา และหลังเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ควรประคบเย็นหลังทำทันที 24 ชม.แรก และหมั่นแต้มยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการขัดผิว และครีมบำรุงจำพวกวิตามินเอและกรดผลไม้ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ไอความร้อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป
ความเชื่อเรื่องอาหารกระตุ้น “สิว”
บางคนที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายอาจเชื่อว่า อาหารเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดสิว เช่น อาหารพวกของทอด ของมัน ช็อคโกแลต นมวัว รวมถึงอาหารประเภทแป้ง เป็นต้น ความจริงแล้วยังไม่มีผลการวิจัยไหนออกมายืนยันว่า อาหารพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวได้อย่างแท้จริง ยกเว้นในกรรีคนที่มีภาวะแพ้อาหารแฝงแล้วเกิดเป็นผื่นขึ้น เช่น แพ้กลูเตนในอาหารประเภทนม และแป้ง อย่างไรก็ตามหลักการเกิดสินั้น ก็ยังคงมาจากเหตุผลด้านวิชาการคือ การที่ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกิน เมื่อรวมกับสิ่งสกปรกเช่น เหงื่อ เซลล์ผิวเก่า มลภาวะฝุ่น สารเคมีบางประเภท และควัน จึงเกิดการสะสมที่บริเวณรูขุมขนเกิดเป็นเม็ดสิวในที่สุด ดังนั้น วิธีการหยุดปัญหาสิวขึ้นที่เดิมๆ ในเบื้องต้นก็คือ การทำความสะอาดในบริเวณที่เกิดสิวง่าย ลแป้องกันการเกิดเม็ดสิวด้วยยาแต้มสิว ควบคู่กับการกินอาหารครบ 5 หมู่ ให้ถูกสัดส่วนไม่มากหรือน้อยไป
ตำแหน่งยอดฮิตของเม็ดสิว
1.หน้าผาก สาเหตุเป็นเพราอวัยวะตับ และม้ามทำงานหนักมีความเครียด ท้องผูกบ่อยครั้ง วิธีบรรเทาอาการสิวไม่ให้เรื้อรังคือ นอนแต่หัวค่ำ ดื่น้ำเปล่ามากๆ และควรออกกำลังกายให้สมองได้ผ่อนคลายความเครียด
2.รอบปาก สาเหตุเพราะลำไส้ทำงานหนัก อาหารไม่ย่อยทำให้ระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ วิธีบรรเทาอาการสิวไม่ให้เรื้อรังคือ งดกินของทอด ของมัน เน้นกินผักผลไม้ และหมั่นนวดท้องวนตามมเข็มนาฬิกา เพื่อช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
3.แก้ม สาเหตุมาจากระบบการขับของเสียในเลือดกับการทำงานของอวัยวะตับและปอดผิดปกติ วิธีการบรรเทาอาการสิวไม่ให้เรื้อรัง คือ อาบน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เน้นกินอาหารที่มีฤทธิ์เย็น และออกกำลังกาย
4.คาง สาเหตุมาจากการที่ฮอร์โมนในร่างกายเสียสมดุล ดื่มน้ำเย็นมากเกินไป วิธีการบรรเทาอาการสิวไม่ให้เรื้อรังคือ ดื่มน้ำอุ่นบ้าง หากมีอาการรุนแรง อาจจะต้องกินยาปรับฮอร์โมน พักผ่อนให้เพียงพอ
5.จมูก สาเหตุมาจากระบบย่อยอาหารทำงานหนัก จึงทำให้สิวที่จมูกส่วนใหญ่จะเป็นสิวเสี้ยนหรือสิวหัวช้าง วิธีการบรรเทาอาการสิวไม่ให้เรื้อรัง คือ ทานผักหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เช่น มะระ แตงโม ฟักเขียว เป็นต้น และควรเน้นกินอาหารที่ย่อยง่าย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)