
© 2017 Copyright - Haijai.com
ปัญหาอัพไซส์ ที่ใหญ่ไม่เท่ากัน Uneven Breasts Surgery
อาการหน้าอกเล็ก อยากใหญ่ มักเป็นปัญหาของคนทั่วไป จึงทำให้การศัลยกรรมหน้าอกเป็นที่นิยมได้อย่างไม่ยากนัก เพราะผู้หญิงและผู้ที่กำลังก้าวข้ามเข้ามาเป็นเพศหญิงทั้งหลายนั้น ล้วนอยากจะมีหน้าอกที่สวยงามทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ในเวลานี้จะเห็นใครๆ อัพไซส์หน้าอกให้ใหญ่ เด้ง เต่งตึง
เป็นที่ทราบกันดีว่าการผ่าตัดศัลยกรรมทุกอย่างนั้น มีความเสี่ยงอยู่แล้ว แม้จะทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ก็ตาม แต่ผลบางอย่างนั้นก็อยู่เหนือการควบคุมของแพทย์ หรือ บางครั้งอาจเป็นพราะสรีระของตัวคนไข้นั่นเอง ที่จะทำให้เกิดผลของการศัลยกรรมหน้าอกที่ไม่ได้ดั่งใจ โดยเฉพาะในครั้งนี้ที่เราจะนำเสนออีกด้านของการศัลยกรรมหน้าอก
สิ่งแรกที่ต้องรู้คือวิธีการที่แพทย์นิยมในการศัลยกรรมเสริมหน้าอกก็คือ การเสริมด้วยซิลิโคน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกเห็นผลได้ชัดเจน และมีข้อแทรกซ้อนน้อย
สิ่งที่คนไข้หรือคนที่สนใจศัลยกรรมเสริมหน้าอกควรรู้อีกอย่าง คือ ชนิดของวัสดุที่ใช้ในการผ่าตัดเสริมหน้าอกมีหลายแบบ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น ถุงซิลิโคนที่บรรจุน้ำเกลือ ถุงซิลิโคนที่บรรจุด้วยซิลิโคนเหลว หรือการเสริมด้วยไขมันตัวเอง
ถุงซิลิโคน
บรรจุซิลิโคนเจลที่ใช้ในการผ่าตัดเสริมหน้าอก จะเป็นซิลิโคน Medical grade ที่มีความคงตัวสูง แม้เราผ่าครึ่งถุงซิลิโคน เนื้อซิลิโคนที่อยู่ข้างในก็จะไม่มีการไหลไปไหน นอกจากนี้ ถุงซิลิโคน ยังมีหลายชั้นและมีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วซึมที่อ่ยู่ด้านใน และลักษณะของเปลือกหุ้มของซิลิโคนก็จะมีหลายลักษณะ อาจจะเป็นผิวเรียบหรือผิวขรุขระ ซึ่งมีผลต่อการเกิดพังพืดหุ้มรอบซิลิโคน ส่วนขนาดซิลิโคนที่จะเลือกใช้สำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอกจะแตกต่างตามความต้องการของคนไข้ และความเหมาะสม
ข้อดีของการเสริมด้วยซิลิโคนจะดูเป็นธรรมชาติ ยับย่นได้ยากเนื่องจากซิลิโคนมีความคงตัวสูง สามารถขยับเคลื่อนไหวได้อย่างสบายตัว และยังใช้ระยะเวลาการพักฟื้นสั้น หากมมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก ก็จะอยู่กับตัวได้ในระยะยาวและสามารถกลับไปทำกิจกรรมได้ตามปกติ ไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม
ถุงน้ำเกลือ
การผ่าตัดเสริมหน้าอก โดยใช้ถุงน้ำเกลือ มีลักษณะคล้ายการผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเจล แต่ลักษณะของถุงจะมีความหนาและแข็งกว่าถุงซิลิโคนเจล โดยถุงซิลิโคนจะอยู่ชั้นนอกและถุงน้ำเกลือจะอยู่ชั้นใน ระหว่างผ่าตัดหลังสอดถุงซิลิโคนเข้าไปแล้ว สามารถเติมน้ำเกลือเข้าไปตามที่ต้องการได้ ข้อดีของการเสริมด้วยถุงน้ำเกลือจะมีรอยแผลเป็นที่เล็กกว่า สามารถวินิจฉัยการรั่วของถุงซิลิโคนได้ง่าย
หากเกิดการรั่วไหล น้ำเกลือจะซึมเข้าร่างกายได้ โดยไม่เป็นอันตราย ข้อเสียคือ อาจจะมีการรั่วซึมของน้ำเกลือออกมาบริเวณวาวล์ (ฝาเปิด-ปิดเติมน้ำเกลือ) ทำให้ต้องผ่าตัดแก้ไขใหม่ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ บางครั้งอาจจะได้ยินเสียงน้ำเกลือกระทบในถุงได้ ในปัจจุบันประเทศไทยใช้กันน้อย
การฉีดไขมันตัวเอง
เป็นการนำไขมันมาจากตัวของคนไข้เอง และฉีดกลับเข้าไปที่เต้านม สามารถนำมาได้หลายบริเวณ เช่น ต้นขาหรือช่วงบริเวณท้อง และวิธีการนี้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ร่างกายต้องมีไขมันมากพอที่จะทำการเสริมเท่านั้น
ข้อดี ของการเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เนื่องจากไขมันเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นการย้ายในตัวคนไข้เอง ร่างกายจะไม่ปฏิเสธ จะให้ความเป็นธรรมชาติสูง ไม่มีสิ่งแปลกปลอม และไม่มีโรทแทรกซ้อนอีกด้วย
ข้อเสีย คนไข้จะต้องมีไขมันในปริมาณที่มากพอ เพราะถ้าหากเสริมด้วยไขมันอาจจะทำให้ไขมันมีการตายได้ จึงทำให้เนื้อหน้าอกยุบตัวลง ทำให้หน้าอกไม่เท่ากัน 2 ข้างได้ และอาจจะต้องมาเสริมเพิ่มเติมหลายครั้ง ที่สำคัญการเสริมด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถเสริมใหญ่ได้มากนัก เพราะต้องขึ้นอยู่กับไขมันของตัวเอง
สาเหตุที่ทำหน้าอกไม่เท่ากัน
• เกิดจากการใส่ซิลิโคนไม่เท่ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เสริมหน้าอก โดยอาจจะใส่ซิลิโคนต่ำกว่าอีกข้าง จึงทำให้เต้านมเกิดอาการเบี้ยวได้ โดยสาเหตุนี้จะสามารถเห็นได้ทันทีหลังจาการเสริมหน้าอก แต่ถ้าหากแผลบวมมาก คนไข้จะเห็นอีกทีหลังจากแผลยุบไปแล้ว 1 เดือน ในกรณีที่เกิดจากไขมันตัวเองนั้น มีโอกาสที่จะทำให้หน้าอกไม่เท่ากัน เนื่องจากว่าเวลาที่ไขมันตาย จะตายไม่เท่ากัน เพราะในกรณีที่เสริมหน้าอกด้วยไขมัน ถ้าเสริมให้หน้าอกไซส์ใหญ่จะใช้ปริมาณไขมันมาก ซึ่งจะทำให้เห็นว่าหน้าอกไม่เท่ากันได้ชัดหลังจากที่ไขมันตาย แต่ถ้าหากเสริมหน้าอกด้วยไขมันโดยปริมาณที่น้อย ก็จะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน วิธีการแก้ไขนั้น เพียงแค่เติมไขมันเข้าไปให้เท่ากับปริมาณของอีกข้าง สิ่งที่สำคัญคือร่างกายต้องมีไขมันมากพอสมควร ถึงจะทำการเสริมให้เท่ากับอีกข้างได้
• เกิดจากสรีระของแต่ละบุคคล ก่อนอื่นแพทย์จะต้องบอกคนไข้ก่อนว่า หน้าอกเดิมของคนไข้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว เมื่อเสริมอาจจะเกิดอาการเบี้ยวได้ บางคนจะเห็นหน้าอกเบี้ยวทันทีเลยหลังจากากรเสริม แต่ถ้าเสริมด้วยถุงน้ำเกลือ จะสามารถปรับขนาดได้ทันที ซึ่งในสมัยนี้ไม่ค่อยนิยมแล้ว ส่วนซิลิโคนนั้นในสมัยนี้มีไซส์แตกต่างกัน แต่สามารถเลือกใช้คนละขนาดในแต่ละข้างได้
• ภาวะเต้าซ้อนหรือ Double Bubble เป็นความผิดปกติอย่างหนึ่ง บริเวณต้าหลังการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกบริเวณใต้กล้ามเนื้อหน้าอก เมื่อเสริมซิลิโคนเข้าไปบริเวณเนื้อเยื่อใต้กล้ามเนื้อแล้ว ถุงซิลิโคนใต้บริเวณเต้านม ก็จะเกิดการหย่อนลงมาจะมีลักษณะคล้ายเต้านมอีกคู่หนึ่ง และอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถเกิดได้คือ คนไข้ที่มีการทำศัลยกรรมหน้าอกมาก่อน เมื่ออายุมากขึ้นหรือหลังจากการตั้งครรภ์ ก็สามารถเกิดเป็นเต้าซ้อนได้ เพราะเนื้อเต้านมมีการหย่อนคล้อยตัวลงมานั่นเอง อย่างไรก็ตามกรณี “เต้าซ้อน” อาจไม่ได้เปป็นผลมาจากการเสริมซิลิโคนหน้าอกบริเวณหลังกล้ามเนื้อเต้านมเสมอไป หากลักษณะฐานเต้านมก่อนทำศัลยกรรมมีเนื้อน้อย สังเกตได้จากความห่างระหว่างหัวนมกับรอยพับใต้ฐานนมไม่ปรากฏเนื้อนูนขึ้นมา
ลักษณะหน้าอกที่มีโอกาสพัฒนาเป็นเต้าซ้อน หลังการศัลยกรรมเสริมหน้าอก ได้แก่
1.หน้าอกเดิมมีลักษณะฟีบแบน หรือเรียกว่าไม่มีเนื้อเต้านม (Snoopy Breast)
2.เสริมซิลิโคนผิดตำแหน่ง เช่น เสริมในตำแหน่งสูงเกินไปไม่พอดีกับฐานเต้านมเดิม
3.เลือกซิลิโคนเสริมใหญ่เกินกว่าฐานเต้านมเดิม
4.มีแผลเป็นบริเวณเนื้อเต้านม
5.เกิดพังพืดหดรัดหลังการศัลยกรรมหน้าอก (Capsular Contracture)
• เกิดภาวะแคปซูล หรือ ผังผืดหดรัด เมื่อมีการใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปในร่างกาย ร่างกายจะมีการสร้างพังผืดขึ้นมาห่อหุ้มตรงบริเวณนั้นโดยรอบ จะมีลักษณะเหมือนแคปซูล ที่แยกเป็นถุงอยู่ภายในกับเนื้อเยื่อที่อยู่ภายนอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกในการป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่างๆ และสารที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นถุงซิลิโคนจะถูกล้อมไปด้วยพังผืด แต่ถ้าพังผืดมีการหดรัดตัว และมีความหนา ก็จะทำให้เต้านมโดยรวมมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง หรือหากมีพังผืดหดตัวมากขึ้น อาจจะทำให้เกิดก้อนแข็ง และผิดรูปไม่เป็นธรรมชาติได้ อาการแคปซูล หรือพังผืดหดรัดซิลิโคน เป็นอาการข้างเคียงที่สามารถพบได้บ่อยมากที่สุดหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก มักจะเกดตอนไหนก็ได้หรือเร็วที่สุด 1-2 เดือน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดพังผืด หรือ แคปซูล จะคล้ายๆ กับปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลเป็น สำหรับบางคนที่ปฏิกิริยาร่างกายไวต่อสิ่งแปลกปลอม ก็จะทำให้แผลเป็นขึ้นได้ง่าย ซึ่งการเกดพังผืด หรือ แคปซูลในการเสริมหน้าอก มีดังนี้
(1) มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคบริเวณถุงซิลิโคน
(2) ตำแหน่งที่วางถุงซิลิโคนส่วนใหญ่จะวางไว้เหนือกล้ามเนื้อ จึงทำให้มีโอกาสเกิดพังผืดได้มากกว่า
(3) มีภาวะเลือดคั่ง ทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดพังผืดตามมา
(4) ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลโดยระดับของการเกิดพังผืด ในการเสริมหน้าอกนั้น มีด้วยกัน 4 ระดับ
(4.1) ระดับที่ 1 เต้านมยังคงนิ่ม และดูเป็นธรรมชมติตามปกติ
(4.2) ระดับที่ 2 เต้านมแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ยังดูเป็นธรรมชาติอยู่
(4.3) ระดับที่ 3 เต้านมแข็งขึ้น และเริ่มผิดรูปร่าง
(4.4) ระดับที่ 4 เต้านมแข็งและผิดรูปร่างอย่างชัดเจน
วิธีการแก้ไขปัญหาหน้าอกไม่เท่ากัน
วิธีการแก้ไขปัญหาหน้าอกไม่เท่ากัน มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าคนไข้นั้น มีปัญหาอยู่ในประเภทไหน โดยขั้นแรกควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดในอนาคตข้างหน้าอีกด้วย การแก้ไขการเสริมหน้าอกที่เต้านมต่ำข้าง สูงข้าง ในกรณีที่เสริมหน้าอกแล้วดูต่ำเกินไป จะใช้วิธีการเย็บเต้านมข้างที่ต่ำให้เท่ากับอีกข้าง เพราะในกรณีที่ใส่เต้านมต่ำนั้น จะทำให้หัวนเชิดขึ้น ดูไม่สวย แต่ถ้าหากเสริมหน้าอกไปแล้ว เต้านอยู่สูงเกินไป ซึ่งจะทำให้หัวนมทิ่มลงมา วิธีแก้ก็จะแตกต่างกัน โดยวิธีการนี้จะใช้การเลาะราวนมลงมา เพื่อทำให้ถุงนมย้อยลงมาในตำแหน่งที่ถูกต้อง ในส่วนของการแก้ไขปัญหาเต้าซ้อนหรือ Double Bubble จากการศัลยกรรมเสริมหน้าอก สามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัดเอาเต้าซ้อนออกแล้วอาจต้องทิ้งระยะเวลาเกือบ 3-6 เดือน ในการพักฟื้น สำหรับคนที่เป็นพังผืดถ้าเป็นในระยะแรกๆ จะเริ่มมีผิดรูปบ้าง ศัลยแพทย์จะใช้การบีบเพื่อให้พังผืดฉีดขาด ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้พังผืดฉีกขาดออกจากกัน จะใช้ได้ในกรณีที่พังผืดไม่หนามาก แต่ในกรณีที่แคปซูลหนามากจึงจำเป็นที่ต้องใช้วิธีผ่าตัด โดยการผ่าตัดจะต้องเลาะเข้าไปในแคปซูล และเปิดขยายช่อง โดยผ่านพังผืดเดิมในช่องให้กว้างขึ้น หลังจากนั้นก็จะใช้วิธีการฉีกแคปซูลออก และใส่เต้านมให้อยู่คนละชั้นจากของเดิม เพื่อป้องกันการเกิดแคปซูลอีกครั้งได้
แต่ในปัจจุบันก่อนที่จะศัลยกรรมเสริมหน้าอก ศัลยแพทย์จะทำการฉีดยาเพื่อป้องกันการเกิดแคปซูลหรือพังผืดอยู่แล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกันและมีปฏิกิริยาที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงทำให้บางคนเป็นแคปซูลที่ทรวงอก เนื่องจากบางคนไวต่อสิ่งแปลกปลอมนั่นเอง
แม้ในปัจจุบันจะมีวัสดุซิลิโคนแบบใหม่ ที่นำมาใช้การทำศัลยกรรมเต้านม ที่ช่วยลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดพังผืดให้น้อยลงได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัยหาการเกิดพังผืด หรือ แคปซูลที่เต้านมได้ 100% และที่สำคัญถ้าหากคนไข้ที่เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก แล้วเกิดพังผืดหลายครั้ง ควรจะหยุดพักทำศัลยกรรมหน้าอกไปก่อน 1-2 ปี หรือถ้าหากหลายปีผ่านไป กลับมาเสริมหน้าอก แล้วยังเกิดพังผืดอยู่ก็ไม่ควรที่จะทำ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องนวดหน้าอก หลังจากากรอัพไซส์
ในสมัยก่อนการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนส่วนใหญ่แล้ว จะต้องนวดหน้าอกทุกครั้ง เพื่อให้หน้าอกนิ่มและดูเด้ง เต่งตึง เป็นธรรมชาติ แต่ในปัจจุบัน ซิลิโคนได้รับการออกแบบมาให้มีผิวที่ขรุขระ ผิวไม่เรียบ เพื่อเปิดโอกาสให้เนื้อเยื่อทำการยึดเกาะได้ง่าย จึงทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการนวดหน้าอกเช่นในอดีต
ในการทำศัลยกรรมความงาม ไม่ว่าจะทำในส่วนไหนของร่างกาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะลงมือทำ และแพทย์นั้นต้องมีความรู้ด้านศัลยกรรมทั่วๆ ไป อีกทั้งยังต้องมีประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมความงาม เพื่อความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์ที่ดี เพราะขึ้นชื่อว่าผ่าตัดนั้นมักจะมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง หรืออาการแทรกซ้อนได้ทั้งสิ้น ถ้าแพทย์ไม่มีความชำนาญก็จะทำให้แก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด อีกทั้งคนไข้ควรจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวคนไข้เอง
นพ.ธนวรรฒน์ โชติมา
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงาม
TNC Clinic
(Some images used under license from Shutterstock.com.)