
© 2017 Copyright - Haijai.com
หลักการลดอ้วนที่คุณต้องรู้ก่อนลอง
เรื่องความอ้วน ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ขัดใจความสวยของสาวๆ อยู่ทุกยุคทุกสมัย และยังคงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการแก้ไข เนื่องจากโรคอ้วนนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ ตามมา ดังนั้น สาวอวบ อ้วน ทั้งหลาย จึงพากันเสาะหาวิธีการลดความอ้วนต่างๆ นานา ซึ่งในปัจจุบันมีมากมายหลายวิธีให้เลือก ไม่จะเป็นการเลือกรับประทานอาหาร การควบคุมอาหาร การรับประทานวิตามินอาหารเสริมต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นการสลายไขมัน รวมไปถึงการพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือแม้แต่การใช้ยาลดความอ้วน
เมื่อคุณสาวๆ มีความต้องการที่จะลดความอ้วนแน่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กับความตั้งใจ คือ เรื่องของวิธีการ จึงขอแนะแนวทางสำหรับคนที่อยากลดความอ้วนอย่างจริงจัง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า วิธีลดความอ้วนมีมากมายหลายรูปแบบ โดยอันดับแรกที่รับความสนใจมาเป็นอันดับต้น คือ เรื่องของควบคุมอาหาร การเลือกรับประทานอาหารที่คิดว่าทานแล้วไม่อ้วน ไปจนถึงการรับประทานวิตามินอาหารเสริม ซึ่งในปัจจุบันมีโฆษณามากมายหลายยี่ห้อ แถมมาทุกช่องทาง ทั้ง Facebook Instagram Twitter จริงบ้างไม่จริงบ้าง แล้วแต่กลยุทธ์ทางการตลาดใครดีกว่ากัน ทั้งนี้การเลือกรับประทานอาหารโดยการควบคุมประเภทและปริมาณในแต่ละมื้อนั้น เชื่อว่าหลายๆ คนรู้ดีว่า ถ้าจะลดรับประทานมีอะไรบ้าง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า หลายต่อหลายคน ยังมีความเชื่อผิดๆ ที่คิดว่าอาหารเหล่านั้น ยิ่งรับประทานก็จะยิ่งช่วยลดน้ำหนักได้มากขึ้น แต่แท้จริงแล้วเป็นความคิดที่ผิดทั้งหมด
5 ความเชื่อผิดๆ ที่คิดว่ากินแล้วไม่อ้วน
1.ต้องดื่มน้ำผลไม้ถึงจะไม่อ้วน ในการเลือกซื้อน้ำผักผลไม้ 100% มารับประทาน เชื่อว่าหลายคนมักจะไม่อ่านฉลากโภชนาการข้างกล่อง พูดง่ายๆ คือ พอบอกว่าเป็นน้ำผลไม้แท้ 100% คุณสาวๆ ก็หยิบลงตะกร้าพร้อมจ่ายซื้อหามารับประทานแล้ว โดยไม่ได้คิดว่ามีน้ำตาลมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าอ่านอย่างละเอียดแล้วจะพบว่าในน้ำผลไม้แท้ 100% 1 กล่อง จริงๆ แล้วไม่สามารถที่จะใส่น้ำผลไม้ลงไปได้ทั้ง 100% เนื่องจากในเรื่องของขบวนการผลิตที่ต้องเอาน้ำผลไม้ไปทำให้แห้งก่อน แล้วนำมาผสมน้ำหรือน้ำเชื่อม เพื่อเพิ่มความหวาน หรืออาจจะใส่วิตามินอื่นๆ ลงไป แต่อย่างไรก็ตาม ก็จะยังมีน้ำตาลอยู่มากอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อเราหันไปดื่มน้ำผลไม้ในปริมาณมากๆ คุณก็จะได้รับน้ำตาล ตัวการความอ้วนเข้าไปเต็มๆ
2.ส้มตำทุกมื้อผอมแน่ หลายคนเลือกเมนูอาหารจานนี้เป็นเมนูหลักเพื่อลดความอ้วน แต่รู้หรือไม่ว่า ส้มตำไม่ได้มีสารอาหารที่มากพอต่อความต้องการของร่างกาย จนสามารถยึดเป็นอาหารจานหลักได้ โดยเฉพาะส้มตำไทย ที่ทั้งน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย ซึ่งเมื่อเรารับประทานเข้าไปเราก็จะได้น้ำตาลเข้าไปด้วยเต็มๆ เช่นกัน นอกจากนี้ในส้มตำไทย ยังมีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบ อย่างน้อยๆ ก็ 10 เม็ด ซึ่งสามารถให้พลังงานคิดเป็นแคลอรีเทียบเท่ากับน้ำมัน 1 ช้อนชา หรือ 45 แคลอรีเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นส้มตำไทยถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้อ้วนได้เช่นกัน เพราะมีน้ำตาล แต่ถ้าพูดถึงถั่วเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะทำให้คุณอ้วนได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าทานมากเกินพอดี ก็จะได้รับแคลอรีที่สูงได้ ทั้งนี้ถ้าหากคุณรับประทานส้มตำชนิดอื่น ก็น่าจะมีประโยชน์ในเรื่องของผักและผลไม้ เช่น มะละกอ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ โดยควรรับประทานอาหารอย่างอื่นร่วมด้วย เพื่อเพิ่มพลังงาน เช่น พวกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาทิ อกไก่ ปลาย่าง ปลานึ่ง เป็นต้น
3.ชาเขียวชาสมุนไพร สลายไขมัน ชาเขียวและชาสมุนไพรมีส่วนผสมของสารโพลีฟีนอล โดยสารชนิดนี้จะช่วยในเรื่องของการละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่ชาที่คนส่วนใหญ่ทานจะมีน้ำตาลมาก ตัวอย่างเช่น ชาเขียว ยิ่งพวกชาเขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาวใน 1 ขวดบรรจุ 500 ซีซี จะมีน้ำตาลถึง 15-17 ช้อนชา แต่ถ้าพูดถึงชาเขียวที่เกี่ยวกับการลดน้ำหนักจริงๆ ปัจจุบันยังไม่มีผลงานวิจัยที่ระบุว่า สามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้จริง
4.เส้นบุก-วุ้นเส้น ช่วยหุ่นเพรียว ความเชื่อเรื่องของการทานวุ้นเส้น หรือเส้นบุกมีทั้งผิดและถูก เพราะคนส่วนใหญ่จะคิดว่าการทานวุ้นเส้นจะทำให้ไม่อ้วน แต่ความเป็นจริงแล้ว การรับประทานมากเกินไปก็อ้วนได้เช่นกัน ซึ่งถ้าพูดถึงวุ้นเส้น คือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมาจากถั่วเขียว ซึ่งเป็นพืชที่ให้โปรตีนสูง แต่ก็ไม่ได้นำส่วนของโปรตีนในถั่วมาผ่านกระบวนการจนเกิดเป็นวุ้นเส้นด้วย ดังนั้น วุ้นเส้นที่มีอยู่จึงประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเหมือนข้าวหรือนั่นเอง
ในส่วนของเส้นบุกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหัวบุก โดยมากจะผสมสาหร่ายทะเลลงไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร นับว่าเป็นอาหารที่มีเส้นใยหรือไฟเบอร์สูง ซึ่งเมื่อทานแล้วจะช่วยให้อยู่ท้อง โดยคุณสมบัติของบุก คือ ในหัวบุกจะมีแป้งประมาณร้อยละ 67 มีโปรตีนร้อยละ 5-6 สารแป้ง ที่อยู่ในหัวบุกเรียกว่า Mannan เมื่อสารนี้ถูกทำให้แตกตัว ก็จะได้กลูโคสกับแมนโนส หรือที่เรียกว่า Glucomannan ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลกลูโคสในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทานบุกเป็นอาหาร แต่จะทานเป็นในลักษณะของเครื่องดื่มแทน ซึ่งแน่นอนว่ามีการผสมน้ำตาล น้ำเชื่อม ซึ่งเป็นตัวลดคุณสมบัติที่แท้จริงของบุกไปนั่นเอง
5.โยเกิร์ต และนมเปรี้ยว ช่วยขับถ่ายจะได้ไม่อ้วน เชื่อว่ามีหลายต่อหลายคนคิดแบบนี้ แต่ความเป็นจริงหากเราอ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียด นมเปรี้ยว 1 ขวด ขนาด 100 ซีซี จะมีน้ำตาล 14 กรัม หรือประมาณ 3-4 ช้อนชา แต่ถ้าเพิ่มขนาดมาเป็นขวด 400-500 ซีซี ก็จะมีน้ำตาลถึง 12-16 ช้อนชาเลยทีเดียว โยเกิร์ตก็เช่นกัน โดยเฉพาะชนิดครีมแทบทุกยี่ห้อที่มีการเติมน้ำตาลและผลไม้เชื่อมเป็นส่วนประกอบนั่น หมายความว่าคุณก็จะได้รับน้ำตาลเพิ่มขึ้นนั้นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ถูกวิธียังจะสามารถเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ แต่ต้องใส่ใจกับส่วนประกอบข้างกล่องกันเล็กน้อย เพื่อให้รู้จริงมิใช่ใครบอกว่าดีก็รับประทานตามๆ กันมา แต่จะว่าไปแล้วการเลือกกิน ควบคุมอาหารนับว่าเป็นเรื่องหนักใจที่ทำกันได้ค่อนข้างยาก หากใจไม่แข็งพอ จนหลายๆ คนเกิดอาการท้อแท้ จึงต้องหันพึ่งตัวช่วยอย่างวิตามินและยาลดความอ้วน
CLA ลดความอ้วนลดน้ำหนักกำจัดไขมันจริงหรือ
ยาลดน้ำหนักกำจัดความอ้วน
ยาลดน้ำหนัก นับได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ได้รับความสนใจจากผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักที่ดี และเห็นผลในระยะเวลาไม่นาน แต่ในปัจจุบันพบว่าจำนวนการใช้ยาลดความอ้วนอย่างผิดวิธีนั้น มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และยาลดความอ้วนสามารถหาซื้อได้ง่าย จากอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ส่งผลทำให้ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากยาตามมา เช่น รับประทานยาเกินขนาด หรือรับประทานยาลดความอ้วน โดยไม่ทราบว่าตนเองเป็นข้อห้ามใช้ของยาดังกล่าว
ล่าสุดมียาลดความอ้วนที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USFDA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) รับรองให้ใช้เป็นยาลดความอ้วน ได้แก่ Phentermine, Diethylpropion และ Orlistat แต่เนื่องจากยาบางตัวอาจนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ ทำให้มีการรับรองให้ใช้ในระยะสั้น และต้องสั่งจ่ายจากสถานพยาบาลเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน Orlistat นับว่าเป็นยาลดความอ้วนเพียงตัวเดียว ที่สามารถจำหน่ายได้ในร้านยาได้
Orlistat เป็นยาลดความอ้วนที่มีกลไกในการออกฤทธิ์ โดยเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ gastric lipase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สร้างมาจากกระเพาะอาหารและยังยับยั้ง pancreatic lipase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สร้างมาจากตับอ่อน เอนไซม์เหล่านี้ ทำหน้าที่ย่อยสลายไขมันจากอาหารที่อยู่ในรูปไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ให้กลายเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล ซึ่งมีขนาดโมเลกุลเล็กลง เมื่อเอนไซม์ถูกยับยั้ง จึงทำให้ไขมันยังคงอยู่ในลักษณะที่เป็นโมเลกุลใหญ่ จึงไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้เกิดการขับถ่ายเป็นไขมันออกทางอุจจาระ ดังนั้น Orlistat จะออกฤทธิ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีอาหารที่มีไขมันอยู่เท่านั้น ไม่ว่าไขมันจะอยู่ในอาหาร นม หรือน้ำมันก็ตาม
Orlistat มีอยู่ในรูปแบบของแคปซูลขนาดความแรง 120 มิลลิกรัม โดยขนาดปกติที่แนะนำคือ รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง รับประทานพร้อมหรือหลังอาหารไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยยา Orlistat สามารถยับยั้งการดูดซึมไขมันได้สูงสุดที่ร้อยละ 30 ของปริมาณไขมันทั้งหมดที่รับประทานเข้าไป จะเห็นว่ายังมีไขมันอีกร้อยละ 70 ที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ จึงไม่ได้หมายความว่า หากรับประทานยาเข้าไปแล้ว จะสามารถรับประทานอาหารที่มีไขมันได้ไม่จำกัด นอกจากนี้ การใช้ยามากกว่า 360 มิลลิกรัม ต่อวัน ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของยามากขึ้นแต่อย่างใด แม้ว่า Orlistat พบผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับยาลดความอ้วนตัวอื่น อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนัก และรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลดีที่สุดนั้นต้องประกอบด้วย การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการปรับพฤติกรรม
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่เรากล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ในปัจจุบัน ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ชนิดใดที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่สามารถแนะนำให้ใช้ได้ ดังนั้น สิ่งดีที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก คือ การควบคุมอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ ที่จะสามารถดำรงชีวิตต่อไปตามปกติได้ ไม่มากจนเหลือเก็บสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกายหรือน้อยเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ และควรปฏิบัติควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมตามวัย หรือสภาวะของร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่เห็นผลได้จริงปลอดภัย และประหยัดที่สุดนั่นเอง
(Some images used under license from Shutterstock.com.)