© 2017 Copyright - Haijai.com
หลายเหตุผลที่คุณแม่ต้องคุมกำเนิดหลังคลอด
คุมกำเนิดใช่ว่าจะสำคัญเฉพาะกับสาวก่อนตั้งครรภ์กลุ่มเดียวเสียเมื่อไหร่ กับคุณแม่หลังคลอดก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นเดียวกัน ที่สำคัญคือ เปอร์เซ็นต์การมาพบแพทย์หลังคลอดตามนัดนั้นมีน้อย ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ทั้งอาจตั้งครรภ์ในท้องต่อไปภายในระยะเวลาใกล้กันกับครรภ์แรกมากจนเกินไป หรือแม้แต่การเลือกการคุมกำเนิดแบบผิดวิธี ก็อาจมีผลกระทบต่อทั้งแม่และลูกเลยทีเดียว การปรึกษาวิธีคุมกำเนิดหลังคลอดจึงสำคัญ
โดยคุณแม่หลังคลอดบุตรจะมีเรื่องของฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ คุณแม่จึงควรเริ่มคุมกำเนิดตั้งแต่ 3-4 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งการคุมกำเนิดหลังคลอดต้องคำนึงถึงปัจจัยดังนี้
• กำลังให้นมบุตรหรือไม่
• มีแผนจะมีบุตรต่อไปอีกหรือไม่ และเมื่อไหร่
สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดห้ามลืม
• งดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 เดือน หลังคลอด
• ตรวจร่างกายหลังคลอด โดยปกติแพทย์จะนัดตรวจภายในหลังคลอดบุตรประมาณ 1 เดือน
• เริ่มคุมกำเนิด โดยการปรึกษาแพทย์ว่าจะคุมกำเนิดด้วยวิธีใด
ทำไมต้องคุมกำเนิดหลังคลอดบุตร
คุณแม่ต้องอย่าลืมว่า ในขณะให้นมบุตรฮอร์โมนต่างๆ จะทำให้ประจำเดือนไม่มา เราจึงไม่สามารถคำนวณโอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้เลย ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่ารังไข่จะทำงานเมื่อไร หลายกรณีที่คุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรตั้งครรภ์เลย ซึ่งแพทย์แนะนำว่าหลังคลอดถ้าต้องการมีบุตรต่อควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากมดลูกอาจจะยังไม่พร้อม อาจทำให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด คุณแม่อาจตกเลือดหรือแท้งได้ เพราะฉะนั้น คุณแม่ที่ให้นมบุตรจึงต้องคุมกำเนิดไปด้วยพร้อมๆ กัน
วิธีคุมกำเนิดมีอะไรบ้างนะ
การคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมนทั้งชนิดฮอร์โมนรวมและฮฮร์โมนเดี่ยว
• การรับประทานยาคุมกำเนิดมีทั้งชนิดฮอร์โมนรวมและฮอร์โมนเดี่ยว
• การใช้ยาฉีดคุมกำเนิดเป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
• การใช้ยาฝังคุมกำเนิดเป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
• ใช้ห่วงกำเนิดที่มีฮอร์โมนเป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
• การใช้ยาแปะคุมกำเนิด เป็นชนิดฮอร์โมนรวม
การคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ฮอร์โมน
• ใช้ถุงยางอนามัย
• การใช้ห่วงคุมกำเนิดชนิดที่ไม่มีฮอร์โมน
• การมีเพศสัมพันธุ์ โดยฝ่ายชายหลั่งอสุจิข้างนอก
คุมกำเนิดแบบไหนเหมาะกับคุณแม่หลังคลอด
คุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรควรเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน เนื่องจากจะไม่มีผลกระทบกับการให้นมบุตร โดยคำนึงถึงความต้องการของคุณแม่ได้เอง ดังนี้
• สำหรับคุณแม่ที่อยากคุมกำเนิดระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป การใส่ห่วงคุมกำเนิดสามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปี แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากห่วงคุมกำเนิดอาจทำให้มีตกขาวมากผิดปกติ การใช้ยาฝังคุมกำเนิดสามารถคุมได้ 3 ปี การฉีดยาคุมกำเนิดเป็นอีกทางเลือกสำหรับการคุมกำเนิดระยะยาว โดยนิยมมาฉีดเมื่อมารับการตรวจหลังคลอดประมาณ 4-6 สัปดาห์ ฉีดทุกๆ 3 เดือน เมื่อจะมีบุตรต่อไปก็หยุดยา แต่ข้อเสียคือยาจะมีฤทธิ์ค้างอยู่ในร่างกายสักระยะหนึ่ง
• สำหรับคุณแม่ที่ต้องการมีบุตรต่อเนื่องภายใน 1-2 ปี แนะนำให้ใช้การคุมกำเนิดแบบรับประทาน ซึ่งสามารถเริ่มมีบุตรได้ทันทีหลังหยุดทานยา แต่ข้อเสียคือต้องทานยาต่อเนื่อง หากรับประทานไม่ต่อเนื่องจะส่งผลเสียต่อสมดุลย์ฮอร์โมนของร่างกายได้ นอกจากนี้การใช้ถุงยางอนามัย และการมีเพศสัมพันธ์ โดยฝ่ายชายหลั่งอสุจิภายนอกก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
• สำหรับคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรเลือกการคุมกำเนิดด้วยวิธีไม่ใช้ฮอร์โมน หรือใช้ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อการสร้างน้ำนมโดยมีทั้งยาฉีด ยาแบบรับประทาน ยาฝัง คุมแม่สามารถเลือกใช้ได้ตามที่ต้องการ
• สำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้ให้นมบุตร สามารถเลือกการคุมกำเนิดได้ทุกวิธีการ
คุณแม่หลังคลอดทานยาเม็ดคุมกำเนิดได้หรือ
การทานยาคุมทั่วไป จะมีฮอร์โมนเอสโตรเจน อาจมีผลยับยั้งน้ำนมได้ การรับประทานยาจึงเหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้ให้นมบุตรมากกว่า
การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวมีผลข้างเคียงอย่างไร
• ประจำเดือนมากระปริดกระปรอย
• บางรายมีน้ำหนักตัวขึ้น
• อาจเกิดสิว ฝ้า
• หากใช้ยาฉีด ยาอาจค้างอยู่ในร่างกายสักระยะกว่าที่รังไข่จะกลับมาทำงานปกติ ประมาณ 3-6 เดือน
สำหรับยาคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมน มีข้อห้ามในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือผ็ที่เป็นโรคเลือด เนื่องจากทำให้เลือดแข็งตัวง่าย อาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดได้ คนที่มีปัญหาอาจปรึกษาแพทย์ก่อนคุมกำเนิดทุกครั้ง
นายแพทย์สุระ โฉมเฉล้ม
สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี
โรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน
(Some images used under license from Shutterstock.com.)