© 2017 Copyright - Haijai.com
รู้ได้อย่างไร ยาหมดอายุ
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด เป็นยาที่ต้องแจ้งกำหนดสิ้นอายุไว้ในฉลากด้วย โดยมากจะระบุทั้งวันที่ผลิต และวันหมดอายุไว้บนฉลากหรือซองยาอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นภาษาอังกฤษ โดยวันที่ผลิตจะเขียนว่า “Manu.Date” หรือ “Mfg.Date” ตามด้วยวัน-เดือน-ปี ของวันผลิต ส่วนวันหมดอายุ จะเขียนว่า “Expiry Date” หรือ “Exp. Date” หรือ Used Before” หรือ Expiring หรือ Use by ตามด้วยวัน-เดือน-ปี ของวันหมดอายุ
รู้ทันอายุของยา
1.ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต สามารถสังเกตได้จากวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ เช่น ที่แผงยา ซองยา เป็นต้น
2.ยาที่มีการแบ่งบรรจุออกจากบรรจุภัณฑ์เดิมของบริษัทผู้ผลิตทั้งในรูปแบบเม็ดหรือน้ำ เช่น ยานับเม็ดหรือยาน้ำแบ่งบรรจุ ให้มีอายุไม่เกิน 1 ปี หลังจากวันที่แบ่งบรรจุ
3.ยาน้ำทั้งชนิดรับประทานและใช้ภายนอก หลังจากเปิดใช้ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือน
4.ยาผงแห้งผสมน้ำ เช่น ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้ว อายุยาให้ยึดตามข้อมูลที่บริษัทระบุไว้บนฉลาก ซึ่งส่วนใหญ่ผสมน้ำแล้วต้องแช่เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 C
5.ยาหยอดตา ยาป้ายตา โดยทั่วไปจะมีอายุไม่เกิน 1 เดือน หลังการเปิดใช้
ทั้งนี้ ยาที่จะมีคุณภาพที่ดีอยู่ในช่วงที่กำหนดจนถึงอายุยาที่กล่าวข้างต้น ยาเหล่านั้นจะต้องอยู่ภายใต้การจัดเก็บที่เหมาะสมตามคำแนะนำ โดยบริษัทผู้ผลิต เพราะหากมีการจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ไวต่อสภาวะแวดล้อม เช่น แสง อุณหภูมิความชื้น ยาจะเสื่อมสภาพ หรือมีคุณภาพลดลงต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดก่อนวันหมดอายุที่ระบุได้ การสังเกตลักษณะทางกายภาพของยาร่วมด้วย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหากยามีลักษณะที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ก็อาจอนุมานได้ว่าคุณภาพของยาน่าจะเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
รู้ได้อย่างไรว่า ยาเสื่อม
• ยาเม็ดแคปซูล ผงยาเปลี่ยนสีมีเชื้อราขึ้นที่เปลือกแคปซูล
• ยาเม็ด สีเปลี่ยนไป แตกกร่อน เป็นผงง่าย
• ยาเม็ด (แบบเคลือบ) เยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนๆ บูดๆ
• ยาน้ำแขวนตะกอน ตกตะกอนจับกันเป็นก้อน
• ยาน้ำเชื่อม สีขุ่นๆ ตกตะกอน
• ยาขี้ผึ้งและครีม เนื้อยาแห้งแข็งหรือสีเปลี่ยนไปจากเดิม
• ยาเม็ดที่ใส่แผงฟอยล์ ไม่ควรแกะเอามารวมใส่ขวด อาจหมดอายุก่อนกำหนด
รู้ได้อย่างไรว่า ยาเสื่อม
1.ยาเม็ดแคปซูล แคปซูลมักจะบวมโป่ง ภายในแคปซูลจะสังเกตเห็นว่าผงยาเปลี่ยนสี อาจมีเชื้อราขึ้นที่เปลือกแคปซูล จับกันเป็นก้อน แถมมีสีที่เปลี่ยนไป ซึ่งต้องระวังให้มาก เพราะยาหมดอายุบางอย่างหากรับประทานเข้าไปอาจเป็นอันตรายต่อไต เช่น ยาเตตราชัยคลิน ถ้าผงยาเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ให้ทิ้งทันที เพราะนั่นหมายถึงมันได้เสื่อมสภาพแล้ว
2.ยาเม็ด เมื่อหมดอายุก็มักมีสีเปลี่ยนไป ซีดจางลง แตกกร่อนเป็นผงง่าย เอามือจับรู้สึกเม็ดยานิ่มๆ บีบเบาๆ ก็แตกแล้ว
3.ยาเม็ดแบบเคลือบน้ำตาล (เช่น วิตามินรวม) เม็ดยามักดูเยิ้ม เหนียว มีกลิ่นหืนๆ บูดๆ
4.ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาคล้ายแป้งน้ำให้ทาแก้คัน ยาลดกรด ถ้าเสื่อมก็จะตกตะกอนจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่ายังไงก็ไม่กระจายตัว ทั้ง กลิ่น สี หรือรส ก็เปลี่ยนไปจากเดิม
5.ยาน้ำเชื่อม จะกลายเป็นสีขุ่นๆ ตกตะกอน เห็นเป็นผงๆ ไม่ละลาย หรือเห็นเป็นน้ำคนละสี ลอยปะปนเป็นเส้นๆ อยู่ และอาจมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว
6.ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าเสื่อมก็จะพบว่าเนื้อยาแข็ง เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีเปลี่ยนไปจาเดิม
7.ยาเม็ดที่ใส่แผงฟอยล์ ซึ่งตัวแผงจะช่วยกันความชื้นและแสง ไม่ให้ยาเสื่อมสภาพเร็ว จึงควรจะแกะยาต่อเมื่อถึงเวลาต้องรับประทานแล้วเท่านั้น หากแกะออกมารวมๆ กันใจขวด อาจเสื่อม หมดอายุ ก่อนวันเวลากำหนดได้
การปฐมพยาบาล เมื่อเผอลรับประทานยาหมดอายุ
อย่าเพิ่งตกใจเกินเหตุหากรับประทานยาหมดอายุไม่ต้องล้วงคอ ไม่ต้องดื่มนม แต่อาจดื่มน้ำตามไปก่อน และเก็บฉลากให้รู้ชนิดยา และจำนวนที่รับประทานเข้าไป สังเกตลักษณะที่ผิดปกติ เช่น สีที่เปลี่ยน กลิ่นที่ผิดปกติ แล้วรีบพบแพทย์ทันที
เภสัชกรหญิงบงกช มหาคีตะ
เภสัชกร
โรงพยาบาลมิชชั่น
(Some images used under license from Shutterstock.com.)