
© 2017 Copyright - Haijai.com
สัญญาต้องเป็นสัญญา
คืนวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจะเอาเด็กๆ เข้านอนลูกสาวคนโตของผมก็ได้หยิบหนังสือนิทานมาแล้วรบเร้าให้ผมอ่านให้เขาฟัง มันเป็นนิทานธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง หากแปลเป็นภาษาไทยก็คงเป็นเรื่องเจ้าชายกบ เนื้อเรื่องนั้นพูดถึงการที่พ่อของเจ้าหญิงบอกเธอถึงคำสัญญาที่เจ้าหญิงได้ให้ไว้กับกบ และเมื่อเธอรักษาสัญญา กบก็กลายเป็นเจ้าชายในท้ายที่สุด นิทานก่อนนอนธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งจบไป ผมตั้งใจจะเอาลูกผมนอนทันที แต่ลูกสาวของผมดูเหมือนจะติดใจกับเนื้อเรื่องเสียมากมาย ถามผมนั่นนี่ไปเรื่อยจนมาถึงคำถามที่ว่า แล้วถ้าเจ้าหญิงไม่รักษาสัญญาจะเกิดอะไรขึ้น คำถามนี้เองที่สะกิดใจผมเหลือเกินจนต้องกลายเป็นคติสอนใจประจำเรื่อง ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ลูกๆ ฟังว่า ถ้าหากสัญญาว่าจะเก็บของเล่นให้เป็นที่เมื่อเล่นเสร็จ ก็ต้องทำตามที่สัญญาไว้ และถ้าหากสัญญาว่าจะทำการบ้านก่อนทำอย่างอื่นเมื่อกลับมาจากโรงเรียนก็ต้องทำตามนั้น และอะไรอีกหลายอย่าง จนเข้านอนกันค่อนข้างดึกเลยทีเดียวผมมานั่งนึกย้อนถึงตัวเองว่า แล้วผมล่ะผมสอนให้ลูกๆ ยึดมั่นกับคำสัญญา แล้วผมเองได้ทำเป็นตัวอย่างให้พวกเขาดูหรือไม่ เวลาผมสัญญาจะพาลูกๆ ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ผมทำตามที่สัญญาหรือเปล่าหรือแค่พูดส่งเดชไปแบบนั้นเอง แล้วกับคนรอบข้างล่ะ ผมรักษาสัญญากับคนอื่นๆ ด้วยไหม
ผมยังจำได้ดีในหลายๆ ครั้งที่ผมสัญญากับลูกๆ ว่าจะพาพวกเขาเข้านอนบ้างล่ะ จะพาไปเที่ยวทะเลช่วงวันหยุดบ้างล่ะ แต่ก็มีหลายครั้งอีกเช่นเดียวกันที่ผมจำได้ว่าผมไม่สามารถรักษาสัญญาได้ บางครั้งผมต้องออกไปพบลูกค้ากว่าจะกลับก็ค่ำเกินไปแล้ว หรือติดธุระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงวันหยุด กำหนดการที่จะไปเที่ยวก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะผม ลูกๆ ของผมไม่ค่อยโวยวายครับ นั่นแหละครับที่เป็นปัญหา เพราะพวกเขาจะมากอด พะเน้าพะนอว่าแล้วเมื่อไรจะว่าง คืนพรุ่งนี้จะพาเขานอนได้ไหมหรืออาทิตย์นี้ว่างไหม ผมมองเข้าไปในตาของพวกเขา มันไม่มีคำดุด่าว่ากล่าวผมรู้สึกถึงเพียงคำวิงวอนและรอคอยจากเด็กกลุ่มหนึ่ง นั่นก็คือลูกผมเองที่จะขอช่วงเวลาที่ผมเคยสัญญากับพวกเขาไว้พวกเขายังจำได้พวกเขายังเฝ้าคอย
ผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงต้องเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้าง หลายครั้งที่เราบอกลูกหรือสัญญากับลูกว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเอาเข้าจริงหรือเมื่อถึงเวลาเรากลับนิ่งเฉย งงงวยไม่รู้ว่าลูกพูดเรื่องอะไรแกล้งทำเป็นลืมหรือบอกปัดไปคราวหน้า และอีกหลายต่อหลายเหตุผลที่เราหยิบยกมาอ้างกับลูก เพราะในเวลาที่ผู้ใหญ่อย่างเราสัญญากับเด็ก ในหลายๆ ครั้งเราทำไปเพียงเพราะว่าเราอยากปัดความรำคาญ ขี้เกียจให้ลูกมานั่งเซ้าซี้หรือรำคาญเขานั่นเองแล้วมันดีไหมล่ะครับ ผมอยากให้นึกถึงจิตใจของเด็กว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่เขามาทวงสัญญาแล้วเราให้เขาไม่ได้ ผู้ใหญ่อย่างเราเองเวลาที่ใครมารับปากกับเราแล้วเขาไม่สามารถทำได้ เราเองก็รู้สึกโมโห ผิดหวังหรืออาจจะขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าหากเกิดขึ้นกับคนที่เรารักและเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราอาจจะยิ่งผิดหวังและเสียใจมากขึ้นไปอีก เช่นเดียวกันครับหากคุณสัญญากับเขาไว้ คุณอย่าคิดว่าเขาจะจำไม่ได้นะพยายามเถอะครับรักษาสัญญาที่ให้ไว้ให้ดี และถ้าหากคุณคิดว่าคุณไม่สามารถที่จะให้เขาได้ คุณก็ไม่ควรสัญญา
การยึดมั่นในคำสัญญาถือเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่พึงกระทำ เพราะนอกจากจะแสดงออกถึงจริยธรรมที่ดีงามอย่างหนึ่งแล้ว ยังถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้เด็กๆ ทำให้เขาเกิดความคาดหวังในสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการที่เราเป็นพ่อเป็นแม่ ควรเป็นกระจกเงาส่องตัวอย่างที่ดีให้ลูกๆ ได้เห็น เพราะถ้าหากเราเป็นคนที่ยึดมั่นในคำสัญญาแล้วลูกของเราก็คงซึมซับตัวอย่างที่ดีนี้ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงในสัญญาในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน
อาจารย์ปรมิตร ศรีกุเรชา
(Some images used under license from Shutterstock.com.)