
© 2017 Copyright - Haijai.com
อยากสวย หรือต้องเสี่ยง
ประโยชน์อย่างหนึ่งของการเข้าถึงสื่อได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์อย่างอินเตอร์เน็ต คือ การทำให้สาวๆ สมัยนี้ได้รับข้อมูลข่าวสารความรู้ในเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและเท่าทันมากขึ้น เรียกง่ายๆ ว่าไม่ตกยุค แต่จะถูกหรือผิดก็อีกเรื่อง และโดยเฉพาะเรื่องความสวยความงามที่เป็นเรื่องคู่กันอยู่แล้วกับผู้หญิง ยิ่งต้องอินเทรนด์ มีอะไรใหม่ๆ เป็นต้องอัพเดทกันตลอด ทำให้ผู้หญิงยุคใหม่หันมาใส่ใจดูแลตัวเองกันมากขึ้น เพราะหันไปมองทางไหนก็มีแต่คนดูดีอ่อนกว่าวัยเต็มไปหมด
แน่นอนว่า ความอ่อนเยาว์ ที่หลายคนหวงแหนนั้น ต่างคนต่างก็หาวิธีที่จะยื้ดยุดฉุดเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด เทคโนโลยีและนวัตกรรมความงามใหม่ๆ จึงถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองรับกับความต้องการของหญิงสาว และเมื่อเร็วๆ นี้เองที่เราได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับการใช้ เลือด มาเป็นทรีทเม้นท์ในการดูแลผิวหน้า โดยการนำเลือดจากร่างกายของเราเองมาปั่นเพื่อแยกองค์ประกอบในเลือด และส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่าพลาสมา (Plasma) ซึ่งในเกล็ดเลือดนั้นเอง มีสารที่เรียกว่า Growth Factor ซึ่งโกรทแฟคเตอร์นี้จะถูกนำกลับไปฉีดเข้าที่บริเวณในหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่เชื่อกันว่าทำให้ ใบหน้าเต่งตึง ดูสวยใส ลดวัยของผิว
ตอกย้ำเทรนด์ความงามนี้กับภาพการทำทรีทเม้นท์ใบหน้าด้วยเลือดที่เรียกว่า Vampire Face Lift นวัตกรรมความงามล่าสุดนี้บวกกับการทำการตลาดของคลินิกหัวใส ที่มองถึงตัวเลขรายได้ที่จะตามมาเป็นหลักมากกว่าผลลัพธ์ของการรักษา โดยอ้างว่าปลอดภัยสำหรับใครที่กลัวการฉีดสารเคมี เพราะนี่คือ เลือด จากร่างกายเราเงอ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Growth Factor เป็นอย่างไร มาทำความรู้จักนวัตกรรมความงามนี้ให้มากขึ้น เพราะหากต้องการทำสวยด้วยวิธีอย่างว่า อาจต้องแลกกับผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึง
Growth Factor คืออะไร
Growth Factor คือ สารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด สามารถกระตุ้นให้เซลล์มีการเพิ่มจำนวน การเจริญเติบโต และพัฒนาการของเซลล์ได้ เป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โกรทแฟคเตอร์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความจำเพาะต่อเซลล์หรืออวัยวะ เช่น Erythropoietin เป็นโกรทแฟคเตอร์ที่กระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดง โกรทแฟคเตอร์ที่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเจริญเติบโต โกรทแฟคเตอร์ที่เป็นโกรทฮอร์โมนใช้รักษาในเด็กเล็กที่ขาดโกรทฮอร์โมน โกรทแฟคเตอร์ในไต ในกระดูก เป็นต้น
แหล่งที่มาของโกรทแฟคเตอร์นั้น อาจะได้มาจากการผลิตโดยตรงจากเซลล์ชนิดต่างๆ ของร่างกาย เช่น เกล็ดเลือด หรือได้มาทาง้อม เช่น ทำการตัดต่อทางพันธุกรรมในแบคทีเรียแล้วนำมาผลิต หรือสกัดมาจากสัตว์บางชนิด เช่น หมู วัว โกรทแฟคเตอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จึงได้มาจากการสังเคราะห์ ไม่ได้สกัดมาจากสิ่งมีชีวิต เพราะการสังเคราะห์ทำได้ง่ายกว่า และเป็นกระบวนการที่ปลอดเชื้อ
การใช้ Growth Factor ในทางการแพทย์
การใช้โกรทแฟคเตอร์ทางการแพทย์ที่เป็นการรักษามาตรฐานเป็นการใช้รักษาโรคทางโลหิตวิทยา โรคมะเร็ง หรือ โรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ เป็นหลัก ได้แก่
Human Growth Hormone เป็นโกรทแฟคเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะทำให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้นและมีความสำคัญต่ออวัยวะต่างๆ มากมาย ทางการแพทย์ใช้รักษาโรคที่มีการพร่องของฮอร์โมนดังกล่าว หรือโรคทางอายุรกรรมบางชนิด เช่น ภาวะที่ร่างกายทรุดโทรมที่พบในโรคเอดส์ เป็นต้น
มีการนำเอาโกรทแฟคเตอร์ดังกล่าวมาใช้ในเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging Medicine) เนื่องจากพบว่าผู้สูงวัยที่ได้รับฮอร์โมนดังกล่าวมีน้ำหนักของมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น แต่ไม่เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้น่าจะเชื่อว่าผลที่ได้เกิดจากการคั่งของน้ำในกล้ามเนื้อมากกว่าปริมาณกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นจริงๆ แต่การใช้โกรทแฟคเตอร์ดังกล่าว อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น มีการอักเสบบริเวณที่ฉีดยา แต่บางครั้งพบผลข้งเคียงอื่น เช่น ข้อบวมอักเสบ เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและมะเร็งโลหิตชนิด Hodgkin’s Lymphoma และพบว่าในเด็กที่ได้ยาดังกล่วแล้วติดตามระยะยาว พบมีการเพิ่มของอัตราตายมากกว่าประชากรทั่วไปเล็กน้อย
Platelet-derived Growth Factor (PDGF) เป็นโกรทแฟคเตอร์ที่ได้มาจากเกล็ดเลือด นำมาใช้รักษาแผลเรื้อรังที่เท้าที่เกิดจากเบาหวาน ซึ่งมีหลอดเลือดเสื่อม ซึ่งใช้ได้ผลดี แต่หากใช้ต่อเนื่องถึง 3 หลอดขึ้นไป โอกาสเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจะเพิ่มมากกว่ากลุ่มควบคุมถึง 5 เท่า ปัจจุบันมีการลักลอบนำยาเถื่อนชนิดดังกล่าวเข้ามาใช้รักษาผู้ป่วยในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.)
น้ำเหลืองที่มีเกล็ดเลือดจำนวนมาก (Platelet Concentrate) เป็นการนำเลือดมาปั่นแยกเอาน้ำเหลืองส่วนที่มีเกล็ดเลือดจำนวนมากมาใช้ในการรักษาโรค การรักษามาตรฐานคือใช้ในภาวะที่ร่างกายขาดเกล็ดเลือด เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น แต่มีผู้นำน้ำเหลืองที่มีเกล็ดเลือดจำนวนมากดังกล่าว มาใช้ในการรักษาโรคอื่นๆ และเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ เป็น Platelet-Rich Plasma (PRP) เช่น นำมารักษาภาวะบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เป็นต้น
จากการศึกษาวิเคราะห์อภิมาน (Meta-Analysis : การวิเคราะห์อภิมาน หมายถึง การสังเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณแบบหนึ่งที่นักวิจัยนำงานวิจัยซึ่งศึกษาปัญหาเดียวกันมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ เพื่อสังเคราะห์ให้ได้ข้อสรุปที่มีความกว้างขวางลุ่มลึกกว่าผลงานวิจัยแต่ละเรื่อง) ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ได้รับ PRP มีการหายจากการบาดเจ็บกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทางผิวหนังมีผู้นำเอา PRP มาใช้ในการเสริมความงาม โดยตั้งชื่อว่า Vampire Facelift จากการศึกษาไม่พบว่าทำให้ผิวข้งที่ฉีด PRP ดูดีกว่าข้างที่ไม่ได้ฉีดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
นอกจากนั้น กระบวนการเตรียม PRP อาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวในปัจจุบัน เครื่องมือสำเร็จรูปที่ใช้ในการเตรียม PRP ยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำมาใช้กับผู้ป่วยในประเทศไทย
การใช้ Growth Factor ในการเสริมความงาม
เป็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมากสำหรับการนำโกรทแฟคเตอร์มาใช้ในเรื่องของการเสริมความงาม โดยมีการนำเกล็ดเลือดหรือสารต่างๆ ที่กล่าวอ้งว่าเป็นโกรทแฟคเตอร์ นำมาใช้ในการเสริมความงาม เพื่อผลลัพธ์ที่เชื่อกันว่าช่วยลดอายุผิวให้ใบหน้าใสเด้งและดูอ่อนเยาว์ขึ้น เช่น Epidermal Growth Factor ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ Insulin-like Growth Factor เป็นการเสริมการทำงานของ Growth Factor ซ่อมแซมผิวหนังที่เกิดปัญหาช่วยชะลอความชรา Basic Fibroblast Growth Factor ช่วยรักษารอยแผลที่เกิดบนใบหน้า Copper Tripeptide-1 เร่งการซ่อมแซมและรักษาผิวจากการถูกทำลาย ช่วยให้ผิวกระชับ เรียบเนียน และอ่อนนุ่ม
ทั้งนี้ สารดังกล่าวลักลอบนำเข้ามาในประเทศ ไม่ได้รับการรับรองโดยคณะกรรมการอาหารและยา ไม่มีใครทราบว่าสารเหล่านี้มีส่วนประกอบดังกล่าวอ้างหรือไม่ ความปลอดภัยเป็นอย่างไร โดยขั้นตอนการฉีดโกรทแฟคเตอร์ ที่พบขณะนี้มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ การทำให้เกล็ดเลือดมีความหนืดพอที่จะฉีดเข้าสู่ร่องผิว ซึ่งคนไข้จะรู้สึกได้เฉพาะช่วงแรกเท่านั้น แต่ภายใน 1 สัปดาห์ผิวก็จะเริ่มกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งอาจทำให้เข้าใจว่าต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงกลับไปฉีดซ้ำ และการรักษาโดยนำเกล็ดเลือดที่เจือจางกว่าแบบแรกฉีดลงไปในหลายๆ จุดบนใบหน้าไปจนถึงบริเวณลำคอ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พบว่าการฉีดสารต่างๆ เข้าไปที่ผิว ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยหลายคน บางคนมีอาการบวมแดง แต่บางคนถึงกับมีการติดเชื้อแบคทีเรียคล้ายวัณโรคที่ผิวหนัง และทำให้เกิดแผลเป็น
Growth Factor ทำให้อ่อนเยาว์จริงหรือ?
ผลลัพธ์ที่ได้หลังการฉีดโกรทแฟคเตอร์เข้าที่ใบหน้า นอกจากความอ่อนเยาว์ที่อาจเป็นเพียงการอุปมาอุปไมยไปเองแล้ว ผลที่ตามมาคือรอยจุด บวม ช้ำ และหากผู้รักษามีการใช้เครื่องมือที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อทำความสะอาด อาจเกิดการติดเชื้อ และอาจมีของแถมกลับมาอย่างเรื่องสิว หนอง รอยแดง รอยดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ความหย่อนคล้อยที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เพราะการใช้โกรทแฟคเตอร์ในเรื่องความงามนั้น ยังไม่มีสถานบันหรือหน่วยงานใดออกมารองรับอย่างถูกต้องตามกฎหมายและอนุญาตให้ใช้อย่างแพร่หลายได้
มนุษย์เรานั้น มีสาเหตุที่ร่างกายต้องเสื่อมไปตามสภาวะ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น การสร้างโกรทฮอร์โมนต่างๆ ก็จะลดลง ซึ่งเป็นกลไกลตามธรรมชาติของร่างกายในการควบคุมไม่ให้เซลล์ต่างๆ มีอายุยืนเกินไป เนื่องจากเมื่อเซลล์แบ่งตัวก็จะเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมาได้เสมอ แต่ถ้าเซลล์นั้นได้รับโกรทแฟคเตอร์เข้าไป ทำให้เซลล์ที่ควรตายมีชีวิตรอดและแบ่งตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติ เมื่อฝืนธรรมชาติก็เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
การใช้โกรทแฟคเตอร์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น การใช้โกรทแฟคเตอร์ที่สกัดจากเกล็ดเลือดมาใช้ในการรักษาแผลเรื้อรังที่ค่อนข้างได้ผลดี แต่หากใช้ถึง 3 หลอด (หลอดละไม่เกิน 15 กรัม) คนไข้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า
ฉะนั้น โกรทแฟคเตอร์จึงเปรียบเสมือนดาบสองคม
ดูแลตัวเองให้สวยใสสมวัยตามธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตทุกชนิด รวมทั้งมนุษย์เราทุกคนมีโกรทฮอร์โมนหรือฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตอยู่ภายในร่างกาย ความอ่อนเยาว์ที่สาวๆ หลายคนหวงแหนอยากเก็บเอาไว้ให้ได้นานที่สุดนั้น ยังมีวิธีอื่นในการเก็บรักษาความสวย ความสาว ความเต่งตึ การฝืนธรรมชาติด้วยการสวยแบบทางลัด ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ใช่ข้อดีที่เราเห็นอวดอ้างสรรพคุณตามคำโฆษณาเสมอไป การรัษาให้คนเราอายุยืนขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น ควรเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่ใช่การใส่สารแปลกปลอมหรือเป็นการกระทำที่ผิดธรรมชาติกับร่างกาย ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ปลอดภัยกว่าสำหรับการรักษาใบหน้าให้ดูเด้งใสอ่อนกว่าวัย
ฉะนั้น การใช้โกรทแฟคเตอร์เพื่อการรักษาสามารถทำได้เฉพาะข้อบ่งชี้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เท่านั้น และจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เฉพาะทาง ผู้ป่วยควรจะได้รับการบอกกล่าวถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น การรักษาดังกล่าวเปรียบเสมือนดาบสองคม ดังนั้น ควรจะมีการพิจารณาให้ดีว่า ผลประโยชน์ที่ได้มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาหรือไม่ นอกจากนั้น เพื่อความปลอดภัย ควรหลีกเลี่ยงยาหรือการรักษาที่ใช้เครื่องมือที่ไม่ได้ผ่านการตรวจรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
การทำสวยด้วยวิธีใดก็ตาม รวมถึงการรักษาโรคด้วย Growth Factor ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่าตัวยา สารต่างๆ หรือเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ ผ่านองค์การอาหารและยาหรือยัง โรคที่ต้องการใช้โกรทแฟคเตอร์ในการรักษาถือเป็นมาตรฐานหรือเปล่า เพราะตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์เรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เซลล์ต่างๆ ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา การใช้โกรทแฟคเตอร์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราต้องมาชั่งใจว่าผลดีที่ได้กับความเสี่ยงที่เกิดคุ้มค่ากันหรือไม่นะครับ การที่จะทำให้คนเราแก่ช้ามีวิธีอื่นๆ ที่ปลอดภัยกว่านี้ เพราะฉะนั้น การใช้โกรทแฟคเตอร์ จึงควรใช้เฉพาะกรณีที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น
สำหรับแพทย์ที่ให้การรักษาได้ทำการชี้แจงให้คนไข้ทราบถึงข้อดีข้อเสียหรือไม่ และตัวแพทย์เองทราบหรือเปล่า เครื่องมือต่างๆ ได้รับการอนุญาตจากองค์การอาหารและยาหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ถือเป็นการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพ จึงไม่อนุญาตให้ทำ เพราะอาจเกิดความเสี่ยงกับคนไข้ได้ครับ
ดร.นพ.เวสารัช เวสสโกวิท
แพทย์ผิวหนัง สถานบันโรคผิวหนัง
(Some images used under license from Shutterstock.com.)