© 2017 Copyright - Haijai.com
ปวดท้องเมนส์เรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณอันตราย
อาการปวดท้องเมนส์ เป็นเรื่องที่ผู้หญิงกว่า 80% ทรมานกันพอสมควร บางคนคิดว่าการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่รู้มั้ยว่าถ้าปวดแบบเรื้อรัง ปวดติดต่อกันยาว 4-5 วัน อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่ากำลังเกิดอันตรายกับระบบภายในของร่างกายได้ หากอาการดังกล่าวถูกละเลยแค่กินยาตามอาการ ความทรมานเหล่านี้คงไม่หายขาด ควรไปตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงจะดีกว่านะคะ
สาวๆ รู้กันหรือไม่ว่าเลือดประจำเดือนนั้นมาจากเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ถูกควบคุมการสร้าง และหลุดลอกโดยฮอร์โมนสองชนิดคือ Estrogen และ Progesterone ซึ่งในระหว่างการมีประจำเดือนนั่นเอง ร่างกายจะหลั่งสาร prostaglandin ออกมา ทำให้มีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อบีบให้มดลูกบีบเลือดประจำเดือนออกมา ทำให้เกิดอาการปวดท้อง และในบางครั้งอาจเกิดอาการปวดเมื่อยหลังร่วมด้วย ซึ่งอาการนี้ยังถือว่าเป็นอาการปกติ อาการปวดท้องเมนส์คนส่วนใหญ่ก็จะปวดกันแค่ 1-2 วันแรก ซึ่งมีวิธีบรรเทาอาการก็คือ การกินยาแก้ปวด พวกพาราเซตามอนหรือยาสำหรับปวดท้องเมนส์
ผู้ที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนแบบรุนแรง และปวดเรื้อรังมากกว่า 6 เดือนราวๆ 60% เมื่อรับการตรวจจะพบว่าเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งโรคนี้จะเกิดจากการที่ เมื่อเวลาผู้หญิงมีประจำเดือน มดลูกก็จะบีบตัวเพื่อไล่เลือดประจำเดือนออกมา ให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือเหมือนตอนเราบีบลูกยางนั่นเอง ระหว่างนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีเลือดไหลย้อนกลับเข้าไปในมดลูก พอเลือดประจำเดือนย้อนกลับเข้าไปมันจะไหลไปตามปีกมดลูก และเข้าไปในรังไข่ซึ่งเล็กมาก พอเลือดประจำเดือนไหลเข้าไปก็จะไม่ไหลออกมา เมื่อเลือดที่ย้อนกลับไปเหล่านี้สะสมมากขึ้น ก็จะเกาะตัวกันหนา และร่างกายก็ผลิตฮอร์โมนช่วงมีประจำเดือนออกมา ซึ่งจะทำให้เกิดอาการอักเสบในช่วงมีประจำเดือน และนี่ก็เป็นที่มาของอาการปวดท้องรุนแรง ซึ่งหากไม่สนใจจะพบแพทย์หรือคิดว่าเป็นอาการปกติของการมีประจำเดือน แล้วละเลยไม่หาสาเหตุของอาการปวดที่แท้จริง อาจส่งผลให้เป็นช็อกโกแลตซีสได้ หากปล่อยให้มีการแตกในท้องอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้นะคะ ผู้ที่มีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ ผู้หญิงที่อายุมากจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่มีอายุน้อย เพราะผู้หญิงที่มีอายุมาก ย่อมมีเวลาของการสะสมเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไหลย้อนเข้าไปได้นานกว่าผู้หญิงที่อายุน้อย ผู้หญิงที่มีประจำเดือนออกมาก จะมีความเสี่ยงเป็นโรคดังกล่าวมากกว่าผู้ที่มีประจำเดือนไหลออกมาน้อย เนื่องจากหากมีประจำเดือนไหลออกมามาก ก็จะมีโอกาสไหลย้อนกลับเข้าไปมากเช่นเดียวกัน และผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้หญิงที่ยังไม่มี เนื่องจากในระยะเวลาของการตั้งครรภ์ 9 เดือน ร่างกายจะไม่มีประจำเดือนและในระหว่างการตั้งครรภ์ฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปเจริญผิดที่นั้นฝ่อลงไปเอง
Dis you know ?
ผักใบสีเขียวเข้ม อย่างเช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง เต็มไปด้วยธาตุแมกนีเซียม ซึ่งผลการศึกษาพบว่า แมกนีเซียมคือ สารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่ปวดท้องประจำเดือน เพราะมันจะไปช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้อาการปวดของคุณลดน้อยลง ซึ่งนอกจากจะพบแมกนีเซียมในผักใบเขียวแล้ว ยังพบในเต้าหู้สด ถั่วอัลมอนด์ มะม่วงหินพานต์ ถั่วลิสง ถั่วต้ม ข้าวกล้อง ข้าวสวย ข้าวโอ๊ต กล้วย นม และโยเกิร์ต
(Some images used under license from Shutterstock.com.)