© 2017 Copyright - Haijai.com
กดจุดลดอ้วนแบบแพทย์แผนจีน
เป็นเรื่องที่น่าห่วงสำหรับสาวๆ สมัยนี้ที่นิยมลดความอ้วนทางลัด โดยวิธีการใช้ยา ซึ่งยาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการติดยาได้ ซึ่งไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีนัก แต่ในปัจจุบันมีทางเลือกใหม่ในเรื่องของการลดความอ้วนมากมาย โดยเฉพาะที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้นั่นก็คือศาสตร์แพทย์แผนจีน ที่ช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นการครอบแก้ว การฝังเข็ม หรือการติดเม็ดผักกาด เม็ดแม่เหล็กที่ใบหู ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะไปรู้เกี่ยวกับเรื่องการลดความอ้วนในศาสตร์แพทย์แผนจีน
เราต้องมาทำความรู้จักก่อนว่าโรคอ้วนนั้นเกิดจากอะไร โรคอ้วน คือโรคที่มีพลังงานในร่างกายมากเกินความจำเป็น ซึ่งจะก่อให้เกิดการสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกายในรูปแบบของไขมัน ความอ้วนไม่ใช่เพียงแต่มีน้ำหนักมากเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าไขมันต่างๆ ในร่างกายที่เกินความจำเป็น โดยปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคอ้วนตามหลัก มีสาเหตุหลักดังนี้ ความชื้น เสมหะ ของเหลว เลือดคั่ง โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และยังเกี่ยวข้องกับพลังก่อนเกิดและหลังเกิดของร่างกาย รวมถึงสภาพจิตใจ สภาวะอารมณ์อีกด้วย
สาเหตุความอ้วนในมุมมองแพทย์จีน
จะเกิดมาจากอวัยวะภายในร่างกายพร่องหรือแกร่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการเกิดโรคอ้วน ดังเช่น การทำงานของม้ามกับกระเพาะไม่สอดคล้องกัน พลังหยางโดนทำลาย รวมไปถึงการทำงานของตับและไตไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดเสมหะ ความชื้น หรือเลือด อุดกั้นอยู่ในบริเวณร่างกาย ส่งผลถึงระบบการเผาผลาญและการดูดซึมในร่างกายบกพร่อง
การฝังเข็มลดความอ้วน คืออะไร
การฝังเข็มลดความอ้วน คือการฝังเข็มเพื่อการกระตุ้นในการทำงานของอวัยวะภายใน เพื่อเป็นการคืนสมดุลให้กับการทำงานของร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน บางคนถึงแม้จะรับประทานอาหารน้อย ควบคุมอาหารเป็นอย่างดี แต่ก็ยังประสบปัญหาโรคอ้วนขึ้นนั้น จะเกิดจากการทำงานของระบบภายในบกพร่องต่อให้ควบคุมอาหาร แต่หากสภาวะในร่างกายยังไม่สมดุล ระบบเผาผลาญ การดูดซึม รวมถึงการขับถ่ายของคนอ้วนนั้นก็จะมีทั้งแบบถ่ายเหลว หรือท้องผูก ถ่ายยาก ดังนั้น การฝังเข็มลดความอ้วนจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดความอ้วนแล้ว ยังเป็นการปรับสมดุลของร่างกายไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากสภาวะร่างกายของมนุษย์ซับซ้อนต่างคนต่างอยู่ในสถานที่ต่างกัน อีกทั้งยังมีการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตที่ต่างกัน ดังนั้น การเลือกจุดฝังเข็มของแพทย์แผนจีน จำเป็นที่จะต้องละเอียดรอบคอบในการสอบถามอาการ ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน อาหารการกิน การนอน รวมถึงการขับถ่าย ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแต่มีความสำคัญต่อการนำมาประกอบการเลือกจุดฝังเข็ม และวิธีกระตุ้นเข็ม ต้องใช้วิธีการบำรุง หรือการระบาย ซึ่งวิธีการเหล่านี้ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายผู้ป่วย จึงจะทำให้การฝังเข็มนั้นเกิดประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
การลดความอ้วนด้วยวิธีอื่นๆ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน
• การครอบแก้ว คือ การนำแก้วครอบตามตำแหน่งจุดบนเส้นลมปราณต่างๆ จะเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือด เป็นการกระตุ้นให้ไขมันบริเวณต่างๆ ที่ครอบแก้วแตกตัวและสลายไปเร็วขึ้น รวมดึงดูดเอาความชื้น ความร้อน ความเย็น ออกทางผิวหนัง อาจจะเกิดรอยคล้ำๆ จ้ำๆ บริเวณผิวหนัง แต่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย การครอบแก้วก็จะมีทั้งการครอบตามจุด คือ การนำแก้วเคลื่อนไหวไปตามเส้นลมปราณทั้งนี้แล้วแต่การพิจารณาของแพทย์แผนจีนว่า ควรจะเลือกใช้วิธีใดให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย
• การนวดจีน (ทุยหนา) เป็นการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย โดยเฉพาะเวลานวดบริเวณหน้าท้องจะมีจุด หรือตำแหน่งเส้นลมปราณที่ผ่านบริเวณหน้าท้อง การนวดจีนเป็นการช่วยให้เลือดลมที่ติดขัด คั่งค้างไหลเวียนได้สะดวกขึ้น และสามารถทำให้ไขมันบริเวณที่นวดแตกตัว สลายไขมันได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังเป็นการผ่อนคลายร่างกายจากความเหนื่อยล้าได้อีกด้วย
• จุดด้านแผ่นหลังกระเพราะอาหาร ส่วนมากวิธีการกดจุดลดน้ำหนัก จะไม่ใช่การกดปุ๊ปแล้วน้ำหนักลดลงทันที แต่จะเป็นการกดเพื่อผ่อนคลาย ลดความอยากอาหารเริ่มแรกให้ใช้หลังมือ เคาะจุดด้านหลังของกระเพาะอาหาร เคาะซักประมาณ 1 นาที จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วทั้ง 2 มือกดลงไปเบาๆ ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่และสะดือ ค้าง 5 วินาที พัก 5 วินาที กดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซัก 10 ครั้ง ก็จะช่วยลดความอยากอาหารได้
• ใต้ไหปลาร้า เป็นจุดที่ช่วยลดความอยากอาหาร ที่บริเวณกระดูกใต้ไหปลาร้า ค่อยๆ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงไปเบาๆ ให้กดไล่ลงไปเรื่อยๆ ตามความยาวของไหปลาร้าค่อยๆ นวดคลึงไปเรื่อยๆ จะรู้สึกตึงๆ หน่วงบริเวณที่นวด
• บริเวณใต้ตาถึงใบหู เป็นกดจุดที่ใกล้ๆ กัน สลับกันไปมา 2 จุด เริ่มด้วยการนวดคลึงกระดูกบริเวณใต้ตาเบาๆ ซักประมาณ 10 วินาที จากนั้นให้สลับไปนวดคลึงกระดูกเล็กๆ ในใบหูทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กันอีกประมาณ 10 วินาที เสร็จแล้วสลับไปมาซัก 5 ครั้งพอ
• การติดเม็ดผักกาด หรือเม็ดแม่เหล็กที่ใบหูเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ความละเอียดและได้ผลดีในการลดความอ้วน โดยวิธีการนี้เคยใช้ในอดีตมาแล้วประมาณ 10 ปี ซึ่งในสมัยก่อนจะใช้เข็มในการฝังเข้าไป จะเป็นลักษณะเข็มจิ๋ว แต่สมัยนี้พบว่ามีการทำน้อย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ ได้ยินคำว่าเข็มจึงกลัว ปัจจุบันจึงนำเม็ดผักกาดมากดจุดแทนการฝังเข็มครั้งละ 3-4 เม็ด แล้วใช้กระดาษกาวตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ หรือสก็อตเทปปิดไว้ เพื่อกันความเคลื่อนไหวไปมา ซึ่งที่ใช้เม็ดผักกาดเพราะเม็ดผักกาดเป็นเม็ดที่เล็กมาก สามารถกดเข้าไปในใบหูของเราได้โดยจะใช้ระยะเวลาเพียง 2 วัน ที่จะต้องเข้ามาพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนใหม่ เพื่อกระตุ้นและกดประสาท ทำให้ความอยากในการรับประทานอาหารลดน้อยลง ซึ่งแพทย์จะเป็นคนกำหนดจุดไว้ให้ แล้วให้คนไข้กับไปนวดกดจุดที่บ้านได้ด้วยตัวเอง เมื่อกดแล้วจะมีอาการหน่วงๆ ตึงๆ ในใบหู ซึ่งการนวดกดจุดที่ใบหูนั้น จะต้องเปลี่ยนข้างทำสลับกันไปมา 4 ครั้ง ติดต่อกันเป็นประจำจึงจะเห็นผล
ซึ่งในใบหูจะมีจุดที่ปาก จุดในเรื่องของทางเดินอาหาร การับประทานอาหาร จุดของระบบกระเพาะอาหาร จุดระบบม้าม จุดระบบลำไส้ ซึ่งแพทย์ก็จะวินิจฉัยก่อนว่าคนไข้ที่เข้ามานั้น โรคอ้วนเกิดจากอะไร แล้วก็จะไปฝังตรงจุดที่ตรงกับโรคเรา หลังจากนั้นก็จะสะท้อนให้เห็นว่า ในจุดที่ทำให้เราอ้วนจะเป็นจุดที่ทำให้เราอยากอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่บางคนรับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย ก็จะไปฝังที่จุดม้ามหรือจุดลำไส้ เพื่อที่จะได้ไปกระตุ้นต่อมให้เกิดระบบการย่อยที่สมดุลมากขึ้น ทั้งนี้ผู้ป่วยจึงจำเป็นที่จะต้องเข้ามาพบแพทย์ก่อนว่า สาเหตุจากการเกิดโรคอ้วนของผู้ป่วยนั้นเกิดจากอะไร ซึ่งจะเป็นการง่ายสำหรับการกดจุดลดอ้วนได้ถูกวิธี
โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้ทำการฝังเข็มก่อนเป็นหลัก เนื่องจากกว่าการฝังเข็มจะเห็นผลได้ชัดกว่า แต่ควรจะทำการกดจุดลดความอ้วนด้วยเม็ดผักกาด หรือเม็ดแม่เหล็กควบคู่กันไป เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีเพิ่มมากขึ้น
หลังจากกดจุดต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
หากใครที่ต้องการจะลดความอ้วนจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมด้วย เพื่อช่วยให้ประสิทธิภาพในการรักษาดีขึ้น เช่น การรับประทานอาหาร จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด รสหวาน และของมัน เพราะเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของกระเพาะและม้าม เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากใย เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้การย่อยอาหารนั้นง่ายกว่าการทานเนื้อสัตว์หรือของมัน ทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ และทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรอดอาหาร เพราะจะทำให้หิวและโหย ซึ่งจะส่งผลให้น้ำหนักอาจขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และไม่ดีต่อกระเพาะอาหารด้วย
• การขับถ่ายให้ถูกสุขลักษณะ หลายคนใช้ชีวิตโดยการรีบเร่ง นอนตื่นสาย ซึ่งมองข้ามความสำคัญของการขับถ่ายไป ควรจะตื่นเช้าขึ้นมาขับถ่ายให้เป็นปกติ เพราะช่วงเวลา ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า คือ ช่วงเวลาการทำงานของลำไส้ใหญ่ เป็นช่วงที่เราควรทำการขับถ่ายของเสียออก หากเลยเวลาลำไส้ใหญ่ก็จะดูดน้ำและของเสียต่างๆ กลับสู่ร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้
• การออกกำลังกาย เป็นอีกวิธีหนึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายและทำให้หัวใจสูบเฉียดเลือดได้ดีขึ้น การออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป หรืออาจเริ่มทำจากการทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น เดินขึ้นบันได ทำความสะอาดบ้าน เดินไปสถานที่ใกล้แทนที่จะใช้ยานพาหนะแทน เท่านี้ ก็จะเป็นการให้ร่างกายได้มีโอกาสใช้พลังงานที่สะสมในร่างกายบ้าง
• การนอนหลับ หลายคนต้องทำงาน อ่านหนังสือดึก ซึ่งยิ่งดึกมากร่างกายก็จะยิ่งเหนื่อยล้า อีกทั้งยังทำให้ระบบการย่อยเสียสมดุลไปด้วย เพราะช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่งจะเป็นช่วงการทำงานของถุงน้ำดี ที่จะปล่อยน้ำดีออกมาเพื่อย่อยสลายไขมัน แต่หากช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายยังไม่ได้พักผ่อน ถุงน้ำดีก็ทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ ทำให้ไขมันไม่ถูกย่อยสลาย เกิดการเก็บสะสมอยู่บริเวณต่างๆ เกิดเป็นโรคอ้วนขึ้น ดังนั้น การลดความอ้วน จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ร่วมด้วยเพื่อการรักษาจะได้มีประสิทธิภาพดีที่สุด อีกทั้งยังทำให้ร่างกายกลับคืนสู่สมดุลได้เหมือนเดิม
ในเรื่องของศาสตร์แพทย์แผนจีนสามารถรักษาได้หลากหลาย ได้หลายรูปแบบและก็หลายโรค ถ้าหากคนไข้ที่สนใจเรื่องของศาสตร์แพทย์แผนจีนหรือยากรักษาด้วยศาสตร์นี้ก็ควรที่จะศึกษาให้เข้าใจในศาสตร์แพทย์แผนจีนในเบื้องต้นก่อน เพราะว่าการรักษาแพทย์แผนจีนจะไม่เหมือนกับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะเมื่อคนไข้มีข้อมูลมาบางส่วนแล้ว และเข้าใจในเบื้องต้นของแพทย์แผนจีน เมื่อแพทย์มาอธิบายเพิ่มเติม ก็จะทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้น แล้วเข้าใจในศาสตร์แผนจีนเพิ่มขึ้นค่ะ
แพทย์จีน พรกมล ปัฐยาวัต
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน
คลินิกฝังเข็มและนวดแผนจีน โรงพยาบาลกรุงเทพ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)