© 2017 Copyright - Haijai.com
สงครามริ้วรอยครั้งใหม่ ลดได้ด้วยความเย็น
ปัญหาริ้วรอยแห่งวัย ที่กวนใจสาวๆ อยู่ทุกยุคทุกสมัย ปัจจุบันขณะที่วิวัฒนาการทางการแพทย์พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะพบกับวิธีใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยลดและขจัดปัญหาริ้วรอยดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นครีมสูตรประสิทธิภาพ การทำเลเซอร์ รวมถึงปัจจุบันวิธีการที่ดูจะได้ผลดี และเป็นที่น่าพอใจคงหนีไม่พ้น “การใช้สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ” (Botulinim Toxin Type A) หรือ “โบท็อกซ์ (Botox) ที่เราเรียกติดปากแบบรู้จักกันดี และในต่างประเทศเองก็ได้ค้นพบ และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่แห่งการลดริ้วรอยที่เรียกว่า “FROTOX” ซึ่งก็คือการใช้ “ความเย็น” ในการลดริ้วรอยนั่นเอง
Frotox the new Botox
โฟรท็อกซ์ อาจจะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูนักในบ้านเรา แต่ในต่างประเทศ โฟรท็อกซ์เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเป็นที่สนใจ และถูกจับตามองในแง่ของประสิทธิภาพ ที่จะเป็นทางเลือกใหม่แทนการใช้สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ทั้งนี้ทีมแพทย์ที่ทำการพัฒนานวัตกรรมโฟรท็อกซ์ให้เหตุผลว่า การใช้ความเย็นหรือในที่นี้เรียกว่า ไครโอนิวโรโมดูเลชั่น (Cryoneuromodulation) เป็นเทคนิคเพื่อการลดริ้วรอยที่ได้ผลทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาในการให้ผลลัพธ์เหมือนโบท็อกซ์ รวมถึงวิธีนี้ยังเป็นวิธีการที่ปลอดสารเคมี กล่าวคือ หากเปรียบเทียบกันในด้านสารที่ใช้ฉีด การทำโบท็อกซ์นั้นเป็นการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ซึ่งเป็นสารเคมี ต่างกับโฟรท็อกซ์ ที่เป็นการใช้ความเย็นเป็นตัวทำให้เกิดปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อ
โดยหลักการแล้วโฟรท็อกซ์หรือในอีกชื่อหนึ่งที่แพทย์นิยมเรียก ก็คือ โคลด์ท็อกซ์ (Cold Tox) โคลด์ท็อกซ์นั้น ให้ผลการรักษาที่คล้ายกับโบท็อกซ์ ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของชื่อเรียกที่ใกล้เคียงกันรวมทั้งหลักการและวิธีการใช้ผลลัพธ์นั้น ก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงที่โฟรท็อกซ์คือการใช้ความเย็นในการรักษานั่นเอง
ความเย็นกับการรักษาทางการแพทย์
การใช้ความเย็นควบคู่กับการรักษาโรคทางการแพทย์นั้น มีประวัติยาวนานตั้งแต่อดีต ซึ่งในปัจจุบัน แม้ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์จะก้าวเดินไปมากเท่าใด แต่แพทย์หลายๆ ท่าน ก็ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องของความเย็น การใช้ความเย็นเพื่อการรักษาการใช้ในวงการแพทย์ในหลายๆ สาขา เช่น แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ศัลแพทย์ รวมถึงงานทางกายภาพบำบัดเอง มีการใช้ความเย็นในการรักษาผู้ป่วยในหลายๆ ประเภท ความเย็นสามารถช่วยรักษาโรคหรืออาการโรคบางอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เอ็นหรือกล้ามเนื้อหรือข้อต่ออัเสบ จากอุบัติเหตุหรือจากการทำงาน เพราะความย็นมีประโยชน์ในการช่วยห้ามเลือด ลดอักเสบ ลดบวม และลดปวดได้แบบที่คาดไม่ถึง แต่ก็ต้องใช้ความเย็นให้ถูกวิธีและต้องมีความเข้าใจ กลไกการทำงานของร่างกายทั้งภาวะปกติและภาวะผิดปกติ
การใช้ความเย็นกับร่างกายเพื่อการรักษานั้นให้ผลต่างๆ ดังนี้
• หลอดเลือดแดงเล็กและหลอดเลือดฝอยหดตัว เนื่องจากความเย็นมีผลกระตุ้นต่อ Adrenergic Vasoconstriction Fiber และยังมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือดเล็กๆ เหล่านี้โดยตรง จึงทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดตามมา ทำให้ใช้ห้ามเลือดได้
• อัตราเมแทบอลิซึมของเซล์ในบริเวณนั้นลดลง ความเย็นทำให้อัตราเมแทบอลิซึมของเซลล์ลดลง การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า เมื่อให้ความเย็นเป็นระยะเวลา 20 นาที อัตราแทบอลิซึมของเซลล์ลดลงถึง 19 % และเมื่ออัตราเมแทบอลิซึมลดลงความต้องการใช้ออกซิเจนของเซลล์ก็ลดลงตามมา ทำให้การบาดเจ็บที่เกิดจากการขาดออกซิจนของเซลล์ลดลงในที่สุด ดังนั้นการใช้ความเย็นจึงมีผลลดอาการบาดเจ็บที่เกิดตามมา (Secondary Damage) เช่น ใช้ในการผ่าตัดหัวใจ
• ลดกิจกรรมของเซลล์ ลดการสร้างของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์ลง ทำให้การบาดเจ็บที่จะเกิดตามมาลดลง และยังลดอาการปวดที่เกิดจากของเสียที่สร้างจากกิจกรรมของเซลล์ลดลง
• การให้ความเย็นทำให้การสร้าง Inflammatory Mediators ลดลง ซึ่งได้แก่ Interleukin, Cytokine และ Prostaglandin จึงสามารถลดอาการอักเสบในระยะเฉียบพลันลงได้
รวมถึงในด้านความงามเอง ความเย็นได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อวงการความงาม ซึ่งที่เราจะพบเห็นมากในปัจจุบัน คือ การนำความเย็นมาใช้ในการสลายไขมัน (Cryolipolysis, Coolsculpting) หรือใช้ความเย็นเพื่อลดอาการหมองคล้ำใต้ตา รวมถึงการใช้ความเย็นเพื่อสร้างความผ่อนคลายอีกทั้งในทางการแพทย์ผิวหนังยังมีการรักษาที่เรียกว่า “จี้เย็น” (Cryotherapy) ซึ่งเป็นการใช้ความเย็นจี้ลงในบริเวณผิวหนังเพื่อรักษาโรคทางผิวหนังต่างๆ มากมาย เช่น หูด กระเนื้อ ไฝ กระ แผลเป็นคีลอยด์ สิวหัวช้าง ปานแดง ผมร่วง การติดเชื้อราในผิวหนังชั้นลึก การติดเชื้อไวรัสบริเวณอวัยวะเพศ และมะเร็งที่ผิวหนัง ควบคู่กับการรักษา
ในทางการแพทย์นั้น ตัวทำความเย็นที่เด่นที่สุด และสามารถให้คุณประโยชน์ได้ครบถ้วน นั่นก็คือ ไนโตรเจนเหลว ซึ่งการใช้ไนโตเจนเหลวควบคู่กับการรักษานั้น ก็มีมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 สารชนิดนี้เป็นของเหลวเย็นจัดอุณภูมิ -196 องศา ใช้ในการรักษาหลายๆ ประเภท รวมถึงพัฒนาการใหม่ล่าสุดของสารทำความเย็นรุ่นต่อมาคือไนตรัสออกไซด์เหลว (Liquid Nitrous Oxide) ซึ่งเป็นของเหลวเย็นมากอุณหภูมิ 89 องศา และเริ่มมีการใช้ในเทคนิคโฟรท็อกซ์ที่กล่าวไปข้างต้นอีกด้วย
ข้อควรระวังเรื่องความเย็น
ไม่ควรใช้ความเย็นกับผิวหนังที่มีความผิดปกติ เช่น มีแผลเป็น สูญเสียความรู้สึกรับรู้อุณหภูมิ มีความไวต่อความเย็นหรือแพ้ความเย็นได้ง่าย และไม่ควรใช้ความเย็นกับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางระบบประสาท ระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด ระบบต่อมไร้ท่อ เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายต่อความเย็นที่ต่างไปจากบุคคล ปกติทั่วไป ทั้งนี้ทั้งนั้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เฉพาะขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเนื้อเยื่อ ณ จุดนั้น หลังจากนั้นสภาพของร่างกายจะกลับสู่สภาวะเดิมก่อนที่จะได้รับความเย็น
FROTOX is Cryoneuromodulation
ความจริงแล้วโฟรท็อกซ์หรือโคลด์ท็อกซ์ เป็นชื่อเล่นที่ถูกตั้งขึ้นมาให้ง่ายต่อการจดจำ และตรงตามลักษณะของการรักษา โดยในทางการแพทย์ชื่อจริงของโฟรท็อกซ์นั้นเรียกว่า “ไครโอนิวโรโมดูเลชั่น” (Cryoneuromodulation) ซึ่งอาจมาจากคำว่า การใช้ความเย็นเฉพาะที่เพื่อหวังผลของการรักษา
ไครโอนิวโรโมดูเลชั่น ถือว่าเป็นอาวุธใหม่ที่จะใช้ต่อสู้ทำสงครามกับริ้วรอยต่างๆ กล่างคือ “ถ้าคุณอยู่ในที่เย็นๆ มือของคุณอาจชาและขยับนิ้วมือไม่ค่อยได้ นี่เป็นปฏิกิริยาที่ความเย็นมีต่อระบบประสาท ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำปฏิกิริยานั้นมาเน้นใช้กับบริเวณเฉพาะของระบบประสาท ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณหน้าผากและหว่างคิ้ว ด้วยความเย็นที่ควบแน่นคือ Focused Cold Therapy ใช้เครื่องมือที่เพิ่มแรงดันของไนตรัสออกไซด์เหลวให้สูงและฉีดด้วยเข็ม ที่มีความบางเฉียบเข้าบริเวณเส้นประสาทของหน้าผากที่ต้องการ ซึ่งจะเข้าทำให้ระบบประสาทอยู่ในภาวะ “จำศีล” เป็นระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและริ้วรอยหายไป”
การลดริ้วรอยด้วยโฟรท็อกซ์
โฟรท็อกซ์ คือการฉีดความเย็นที่ผสมไนตรัสออกไซด์เหลวที่มีผลช่วยหยุดการทำงานของเส้นประสาท ที่ควบคุมการขมวดตัวของกล้ามเนื้ออย่างเป็นธรรมชาติ ในร่างกายของมนุษย์มีธาตุไนตรัสออกไซด์อยู่แล้ว โดยธรรมชาติไนตรัสออกไซด์เหลวที่ร่างกายรับเข้าไป จึงไม่ถือเป็นการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ระบบ การฉีดนั้นต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีความเข้าใจในเทคนิคการฉีดเป็นอย่างดี
การรักษาริ้วรอยด้วยโฟรท็อกซ์ มีวิธีการดังต่อไปนี้
เข้ารับการตรวจเบื้องต้น หากผู้เข้ารับการรักษาไม่มีประวัติเสี่ยงต่อการใช้ความเย็น แพทย์จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์รูปหน้า และพูดคุยถึงความต้องการ แพทย์จะทำการทาหรือฉีดยาชาในบริเวณที่ต้องการทำการรักษาด้วยโฟรท็อกซ์ และรอจนยาชาออกฤทธิ์ หลังจากที่หน้าผากชาจากฤทธิ์ยาชา ก็จะใช้เครื่มือที่มีรูปร่างคล้ายปากกาติดเข็ม หรือ Smart Tips โดยใช้ปลายเข็มเจาะลงไปใต้ผิวหนังเพื่อส่งผ่านกระแสความเย็น จัดลงไปเป็นเวลา 30 วินาที ไปยังเส้นประสาท
เมื่อแพทย์ถอนเข็ม ผู้ที่เข้ารับการรักษาจะรู้สึกถึงแรงกดเล็กน้อย แต่จะไม่มีอาการเจ็บหรือรู้สึกเย็นบริเวณพื้นที่ที่ฉีด โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลได้ในทันทีหลังการฉีด
การรักษาริ้วรอยด้วยโฟรท็อกซ์ มีวิธีการดังต่อไปนี้
เข้ารับการตรวจเบื้องต้น หากผู้เข้ารับการรักษาไม่มีประวัติเสี่ยงต่อการใช้ความเย็น แพทย์จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์รูปหน้า และพูดคุยถึงความต้องการ แพทย์จะทำการทาหรือฉีดยาชาในบริเวณที่ต้องการทำการรักษาด้วยโฟรท็อกซ์ และรอจนยาชาออกฤทธิ์ หลังจากที่หน้าผากชาจากฤทธิ์ยาชา ก็จะใช้เครื่องมือที่มีรูปร่างคล้ายปากกาติดเข็มหรือ Smart Tips โดยใช้ปลายเข็มเจาะลงไปใต้ผิวหนังเพื่อส่งผ่านกระแสความเย็นจัดลงไปเป็นเวลา 30 วินาที ไปยังเส้นประสาท
เมื่อแพทย์ถอนเข็ม ผู้ที่เข้ารับการรักษาจะรู้สึกถึงแรงกดเล็กน้อย แต่จะไม่มีอาการเจ็บหรือรู้สึกเย็นบริเวณพื้นที่ที่ฉีด โดยใช้เวลาในการรักษาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลได้ในทันทีหลังการฉีด
ผลลัพธ์ที่ได้
โฟรท็อกซ์นั้นทำงานด้วยการใช้ความเย็น กลไกที่ทำให้เส้นประสาทซึ่งควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าส่วนที่มักเกิดริ้วรอยได้ง่าย หยุดการทำงานไปชั่วคราว คล้ายการจำศีล กล้ามเนื้อบนใบหน้าจึงผ่อนคลาย ส่งผลให้ริ้วรอยที่เคยปรากฏดูจางหายไป โดยมีระยะเวลาคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน โดยที่ใบหน้ายังคงดูเป็นธรรมชาติ และไม่แข็งทื่อ โดยราคาของการฉีดโฟรท็อกซ์ในต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 10,000-17,500 บาท ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกับการฉีดโบท็อกซ์
ข้อดี
หากเปรียบเทียบกับโบท็อกซ์ ซึ่งมีวิธีการฉีดที่ใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันในส่วนที่ โบท็อกซ์ใช้สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราว อีกทั้งยังเป็นสารเคมีโฟรท็อกซ์เป็นการประยุกต์ใช้ความเย็น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหยุดการทำงานชั่วคราว โดยมีลักษณะคล้ายการ “จำศีล” ในด้านผลข้างเคียง เนื่องจากการฉีดโฟรท็อกซ์นั้นไม่ใช้สารเคมี แต่ใช้ความเย็น เพราะฉะนั้นการเกิดผลข้างเคียงจากสารเคมีจะจะไม่เกิดขึ้น โฟรท็อกซ์นั้น สามารถให้ผลลัพธ์ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาให้เกิดปฏิกิริยาใดๆ ต่อร่างกาย ไม่มีผลต่อการแสดงสีหน้าให้ใบหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติ ขยับกล้ามเนื้อต่างๆ บนใบหน้าได้ ไม่มีอาการแข็งทื่อของกล้ามเนื้อ
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเข้ารับการรักษาโฟรท็อกซ์
เช่นเดียวกันกับข้อคำนึงถึงเบื้องต้นในการเข้ารับบริการความงามจากทางการแพทย์อื่นๆ โฟรท็อกซ์ซึ่งมีจุดด้อยคือความใหม่ของวิธีการทำให้เสี่ยงที่ทั้งแพทย์และผู้เข้ารับการรักษาเองจะไม่มีประสบการณ์เพียงพอในการรักษา ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลในเรื่องนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจจะมีการติดต่อสอบถามแพทย์เบื้องต้นก่อนเข้ารับการรักษา เนื่องจาก โฟรท็อกซ์ ยังเป็นวิธีการใหม่ที่ยังไม่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย แพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการฉีดโฟรท็อกซ์ จึงยังไม่มีในประเทศไทย เนื่องจากเป็นการใช้ความเย็น ซึ่งมีส่วนผสมของไนตรัสออกไซด์เหลว ที่แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ร่างกายมีอยู่แล้ว แต่ในทางตรงกันข้ามความเย็นก็ค่อนข้างมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตราย โดยเพราะบริเวณที่ใช้ความเย็นมากๆ โดยไม่คำนึงถึงปริมาณ ทั้งนี้แพทย์ผู้ฉีดจึงต้องมีความชำนาญและประสบการณ์อย่างมาก
วิทยาการทางการแพทย์ใหม่ๆ นั้น ไม่ได้เป็นคำตอบที่ดีเสมอไป การแพทย์ที่ผ่านการเรียนรู้ และสั่งสมประสบการณ์ รวมถึงมีการทดลองใช้ที่บ่อยครั้งจากแพทย์ผู้ชำนาญต่างหาก ที่อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเช่นเดียวกันกับ โฟรท็อกซ์ แม้ว่าการรักษาด้วยความเย็นนั้นจะถูกใช้ในทางการแพทย์มานาน แต่วิธีการใหม่ย่อมต้องผ่านการเรียนรู้ ผู้เข้ารับการรักษาจำเป็นอย่างมากที่จะต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และเข้ารับการรักษาโดยอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ทางความงามนั้นมีวิธีการมากมายในการลดริ้วรอย ในปัจจุบันเนื่องจากการใช้สารโบทูลินั่มเอ สำหรับการลดริ้วรอยนั้นเป็นกระแสที่นิยมไปทั่วโลก โดยไม่จำกัดอยู่ที่เพศหญิง หรือแม้แต่ช่วงวัย เพราะฉะนั้นการที่มีทางเลือกเพิ่มขึ้นมา ในที่นี้ก็คือเทคนิคที่เรียกว่า โฟรท็อกซ์ ซึ่งก็คือการนำความเย็นมาเป็นตัวลดริ้วรอย ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจแต่เนื่องจากว่าวิธีนี้เป็นวิธีการใหม่ เครื่องมือที่ใช้ก็ยังใหม่ ทั้งคนไข้และตัวแพทย์เอง ก็คงต้องรอดูและศึกษาพัฒนาการจริงๆ ของวิธีการนี้ เพื่อให้เห็นถึงผลการรักษา รวมถึงหากมีการนำเข้ามาในประเทศไทยจริงๆ ก็จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนการ คือ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานขององค์การอาหารและยา รวมถึงด้านรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล เรื่องผลข้างเคียงและความเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับคนไทย ซึ่งเมื่อเทียบกับการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและใช้กันมาหลายสิบปีแล้ว การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ถือเป็นเทคนิคมาตรฐานที่ทำได้ดี มีประสิทธิผลที่น่าพอใจ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
นพ.วิบูลย์ โรจนวานิช
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง (ตจวิทยา)
โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
(Some images used under license from Shutterstock.com.)