Haijai.com


อาหาร แม็คโครไบโอติกส์ กับการลดน้ำหนัก


 
เปิดอ่าน 7283

อาหาร แม็คโครไบโอติกส์ กับการลดน้ำหนัก

 

 

เชื่อว่าในที่นี้ คนที่มีความตั้งใจอยากจะลดน้ำหนัก ต้องเคยผ่านประสบการณ์อดอาหารมาแล้ว หรือไม่ก็วันๆ หนึ่งรับประทานแต่ผักผลไม้ เพื่อทำให้น้ำหนักลดและรูปร่างผอมบางลงมา แต่สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักแบบไม่ต้องอดหรืองดอาหาร เพื่อทนทรมานกับความหิว และอยากได้สุขภาพดีร่วมด้วย เรามีวิธีการรับประทานอาหารที่เป็นแนวทางธรรมชาติมาฝากที่นอกจากน้ำหนักจะลดลงแล้ว ยังควบคู่กับการมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆ กันด้วย นั่นก็คือการหันมารับประทานอาหารแบบ แม็คโครไบโอติกส์

 

 

อาหารแม็คโครไบโอติกส์คืออะไร ใครที่มีความสนใจเรื่องอาหารสุขภาพคงพอจะคุ้นหูกันอยู่บ้าง อาหารแม็คโครไบโอติกส์ คือ การรับประทานอาหารที่เน้นสุขภาพเป็นหลัก แต่มีผลทำให้น้ำหนักลดโดยที่ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ชะลอความแก่ก่อนวัย รวมถึงป้องกันการเกิดโรคยอดฮิตในสังคมไทย อย่างภูมิแพ้ มะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โดยการรับประทานแบบแม็คโครไบโอติกส์นี้ ถือเป็นวิถีสุขภาพทางเลือกที่จะนำพาเรากลับไปสู่การใช้ชีวิตที่สมดุล มีความสอดคล้องกับธรรมชาติ แล้วยิ่งเรารับประทานเป็นประจำก็จะทำให้มีสุขภาพดี มีความสุข และมีชีวิตที่ยืนยาว ทั้งนี้ ต้นกำเนิดของอาหารแม็คโครไบโอติกส์นั้น มาจากอาจารย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ George Ohsawa ผู้คิดค้นวิถีธรรมชาตินี้จากรากฐานของอาหารธรรมชาติ ที่นำมาผสมผสานกับแนวทางการดำเนินชีวิตจากประเทศจีน ซึ่งก็คือ ทฤษฎีหยิน-หยางนั่นเอง

 

 

สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหลักในการรับประทานแบบแม็คโครไบโอติกส์ คือ การรับประทานด้วยความพอเหมาะพอดี เลือกรับประทาน เฉพาะเท่าที่ร่างกายต้องการอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งหมายถึงชนิดและปริมาณของอาหารด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ อาหารที่รับประทานนั้นต้องมาจากธรรมชาติ วัตถุดิบที่นำมาปรุงแต่งต้องสด สะอาด ปราศจากสารพิษ เครื่องปรุงในการประกอบอาหารทั้งหมดต้องไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการแต่งรส สีหรือกลิ่น แน่นอนว่าหากร่างกายได้รับอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่พอดี ประกอบกับการทำจิตใจให้สุขสงบ การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ เมื่อนั้นสุขภาพที่ดีก็จะเกิดกับเรา ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่มีไขมันที่สะสม ช่วยให้อายุยืนยาว รูปร่างดีขึ้น สดใสขึ้น ไม่ทรุดโทรม เฉกเช่นการอดอาหาร

 

 

ทั้งนี้ เราสามารถรับประทานอาหารแบบแม็คโครไบโอติกส์ในชีวิตประจำวันได้ทุกวัน เพื่อสร้างสมดุลของกรด-ด่างในเลือด ต่อต้านความเป็นกรดอ่อนๆ เรื้อรังที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายที่ไม่สมดุล

 

 

เนื่องมาจากนิสัยการรับประทานแบบสังคมเมือง ที่มักรับประทานอาหารซ้ำซาก เน้นแต่เนื้อสัตว์ นม ไข่ รวมถึงอาหารจานด่วน อาหารรสจัด หรืออาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี เช่น อาหารที่แต่งสี แต่งกลิ่น หรือใส่สารกันบูด เป็นต้น

 

 

What You Can Eat and What You Can’t

 

การหันมารับประทานอาหารจำพวกธัญพืชทั้งเมล็ดและผักใบเขียวเป็นสิ่งที่ควรทำ รวมไปถึงพืชผักที่ปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี และการปรุงก็ควรหลีกเลี่ยงเตาไมโครเวฟหรือการทอด เพราะจุดเด่นของอาหารประเภทแม็คโครไบโอติกส์ คืออาหารแบบมีรสชาติดั้งเดิมของอาหารชนิดนั้นๆ โดยแทบจะไม่แต่งเติมเสริมแต่งใดๆ ซึ่งหลักง่ายๆ ของการรับประทานอาหารแบบแม็คโครไบโอติกส์ที่ควรจดจำคือ

 

 

1.หันมารับประทานอาหารประเภทแป้งที่ไม่ขัดขาว ทั้งข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ข้างกล้อง ให้ได้ 50% ของอาหารในแต่ละมื้อ

 

 

2.รับประทานอาหารประเภทผักดิบและผักสุกร่วมกัน เมนูแนะนำคืออาหารประเภทสลัดผัก หรือผักต้มจิ้มน้ำพริกแบบไทยๆ จากผักต้มก็เพิ่มผักดิบในเมนูน้ำด้วยก็ได้ เช่น แตงกวาสด มะเขือเทศสด เป็นต้น ทั้งนี้ควรต้องให้มีอยู่ในเมนู 25% ของอาหารในแต่ละมื้อ

 

 

3.เพิ่มการรับประทานถั่วต่างๆ ให้มากขึ้น งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์และใช้โปรตีนจากถั่วแทน หรือผลิตผลที่ได้จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร โดยควรรับประทานให้ได้ประมาณ 15% ของอาหารแต่ละมื้อ และในหนึ่งอาทิตย์จะต้องทานปลาหรืออาหารทะเลหนึ่งครั้งด้วย

 

 

4.งดเว้นอาหารที่ใส่น้ำตาลขาวทุกชนิด รวมไปถึงอาหารมันที่ใช้น้ำมัน นม เนย กะทิ หรืออาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปัง เป็นต้น  สำหรับใครที่ติดนิสัยทานขนมขบเคี้ยว แนะนำอาหารประเภทเมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง หรือผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน เช่น ฝรั่ง เป็นต้น

 

 

หากใครอ่านมาถึงจุดนี้แล้วเกิดข้อสงสัยว่า ทำแบบนี้แล้วจะสามารถลดน้ำหนักได้จริงมั้ย? จากหนังสือ อาหารแม็คโครไบโอติกส์ ของกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มีข้อมูลยืนยันว่า การรับอาหารดั้งเดิมในวิถีธรรมชาติเช่นนี้ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวเองได้ หากรับประทานต่อเนื่อง 1 สัปดาห์ ทั้งหน้าท้องแบนราบ เอวหลวมขึ้น ระบบขับถ่ายนุ่มนวล ไม่มีปัญหา นอนหลับสบายขึ้น เบาเนื้อเบาตัว หน้าตาและอารมณ์ผ่องใส ไม่หิวจนตาลาย หรือหมดแรงมือสั่น ที่สำคัญคือสามารถเยียวยาอาการของโรคหัวใจ เบาหวาน หอบหืด และโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และลดอัตราการเกิดโรคต่างๆ ได้ด้วย

 

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ต้นตำรับของอาหารแม็คโครไบโอติกส์ในประเทศไทย ยังได้กล่วถึงอาหารประเภทนี้ว่า พื้นฐานที่สำคัญคือความเป็นธรรมชาติ อะไรก็ตามแต่ที่เราจะรับเข้าไปในร่างกายของเราให้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่มีการปรุงแต่งที่เกินจริง ไม่มีการใช้สารเคมี ต้องเลือกกันตั้งแต่วัตถุดิบต้นทางกันเลยทีเดียว อาหารแม็คโครไบโอติกส์ ทุกขั้นตอนคือความประณีต ความพิถีพิถัน ความตั้งใจ ซึ่งความตั้งใจในการปรุงอาหารเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะความตั้งใจของผู้ปรุงที่ตั้งใจทำด้วยความรัก ความปรารถนาดี จะทำให้อาหารมีพลังชีวิต

 

 

นอกจากวิธีการลดน้ำหนักด้วยวิธีการรับประทานอาหารแบแม็คโครไบโอติกส์ที่เรานำมาฝากในข้างต้นแล้ว ยังมีแนวทางในการรับประทานอีกมากมายหลายสูตรให้เลือกทดลอง ซึ่งใครที่อยากจะลดน้ำหนักจริงๆ จะหยิบจับแนวทางต่างๆ เหล่านี้ไปทดลองใช้ เพื่อหาแนวทางที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวคุณก็ได้เช่นกัน

 

 

1.Low Carb Diet (โลว์คาร์บ ไดเอท) สำหรับวิธีการไดเอทนี้หัวใจสำคัญอยู่ที่การลดจำนวนคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อให้น้อยลง ไม่ใช่เป็นการงดไปเลยเสียทีเดียว เพราะคำว่า Low Carb คือ การทำให้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตในระดับต่ำ และไม่ตกค้างหรือเหลือใช้ให้กลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ดังนั้น โลว์คาร์บ ไดเอท ที่ถูกต้องนั้นคือ การรับประทานคาร์โบไฮเดรต ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่ควรงดหรือลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้ต่ำจนเกินไป

 

 

2.Fatty Diet คือ กินไขมัน ลดไขมัน ซึ่งไขมันในที่นี้คือ “น้ำมันมะพร้าว” การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วน เป็นแนวคิดของแอ็ตกินส์ไดเอท (Atkins Diet) ซึ่งเป็นที่นิยมในดาราฮอลลีวูดในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างเช่น เจนนิเฟอร์ อนิสตัน โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้น ให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมของไขมันในร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง ซึ่งคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ จะช่วยลดความอยากอาหารได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ซึ่งทฤษฎีแอ็ตกินส์แนะนำว่าให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ควบคู่กับอาหารแบบโลว์คาร์บ คืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำนั่นเอง

 

 

3.Paleo Diet (PD) วิธีการรับประทานแบบอาหารมนุษย์ถ้ำ วิธีการนี้เป็นวิถีการกินแบบธรรมชาติตามสัญชาติญาณของคนยุคเก่า เช่น การเน้นกินเนื้อสัตว์ พืชผักผลไม้ อาหารที่ไม่ต้องปรุงแต่ง เฉกเช่นอาหารในยุคปัจจุบันที่มีการปรุงเสริมเติมแต่งกันมาก อย่างข้าวขัดสี เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง หรือขนมปังต่างๆ เป็นต้น

 

 

4.Vegetarain Diet หรือ อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารจำพวกผักและผลไม้ ซึ่งทำให้ได้รับกากใยอาหารและไม่มีเนื้อสัตว์อยู่เลย โดยผลการวิจัยทั้งในและต่างประเทศพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดเป็นเวลานานๆ อาจมีภาวะพร่องของวิตามินบี 12 และแร่ธาตุเหล็ก ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กด้วย

 

 

5.DASH Diet (DASH Dietary Approaches to Stop Hypertension) เป็นวิธีการรับประทานอาหารที่คิดค้นโดย Maria Heller นักโภชนาการชาวสหรัฐฯ เพื่อใช้ลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอล และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน แต่นอกจากจุดประสงค์โดยตรงแล้ว ปัจจุบันได้มีผู้ที่นำสูตรนี้ไปใช้ลังพบว่าช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็ว โดยในช่วงสองสัปดาห์แรกเน้นอาหารโปรตีนสูงและไขมันอิ่มตัวต่ำ เช่น เนื้อหมูและเนื้อวัวไม่ติดมัน เนื้อปลา เนื้อไก่ เพื่อเป็นการรีเซตระบบการเผาผลาญของร่างกาย ส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจะเน้นให้กินโปรตีนแต่พอเหมาะและผักปริมาณไม่จำกัดเหมือนเดิม ซึ่งในช่วงนี้น้ำหนักจะยังคงลดลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอยู่ในระดับที่พอเหมาะ และสามารถออกกำลังกายเพื่อความเฟิร์มมากขึ้น

 

 

สรุปง่ายๆ คือ วิธีการรับประทานอาหารไม่ว่าจะแนวทางใดก็ตาม ถ้าเรากินอะไรเข้าไปในปริมาณมาก แต่ขับถ่ายออกมาน้อยหรือไม่พอดีกัน เชื่อว่าหนทางสู่ความอ้วนก็อยู่แค่เอื้อม แล้วยิ่งถ้าทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องไกลตัวด้วยการอยู่นิ่งๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศ เมื่อเลิกงานแล้วมุ่งตรงกลับบ้านหรือแวะร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดข้างทาง กินเสร็จแล้วก็นอน เรื่องอาหารที่เข้าและออกไม่เท่ากัน จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดความอ้วนนั่นเอง

(Some images used under license from Shutterstock.com.)