Haijai.com


ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ ขมับบุ๋ม แก้ไขด้วยฟิลเลอร์


 
เปิดอ่าน 38058

เติมอึ๋มขมับปรับหน้าสวย Filling temporal hollowing

 

 

ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ตึงกระชับ ตามธรรมชาติ ดูอิ่มเอิบเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล เป็นใบหน้าที่มองดูแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา หากยิ่งประกอบไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสใครๆ ก็ไม่อยากจะเบือนหน้าหนี แต่ใบหน้าที่เหี่ยวเฉา แก้มตอบขมับตอบ มองเห็นใบหน้าเป็นโครงกระดูก ดูแล้วไม่มีชีวิตชีวา แบบนี้ก็ไม่น่าพิศมัย ใครๆ ต่างก็หลีกลี้หนีหาย ต้องใช้ตัวช่วยด้วยการเติมเต็มใบหน้าที่ตอบนั้นให้เต็มอิ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้น เพื่อคืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติให้กับรูปหน้า การทำศัลยกรรมใบหน้าในสังคมยุคปัจจุบันนับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นปกติไปแล้ว และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้น จะเห็นได้ว่ามีแพทย์หลายท่านและสถาพยาบาลหลายแห่งที่ให้การรักษาในด้านนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำศัลยกรรมอะไรก็ตาม สิ่งที่ควรตระหนักถึงก็คือการทำศัลยกรรมไม่ใช่เทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนผันไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะการทำศัลยกรรมบนใบหน้า

 

 

เพราะทุกคนมีความงามเฉพาะตัว ดังนั้น เมื่อทำศัลยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว ก็ยังคงต้องเป็นความงามในแบบฉบับของเราอยู่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงำนึงถึงความเป็นธรรมชาติของใบหน้าคนไข้เป็นหลัก สำหรับคนที่มีปัญหาขมับตอบ หรือขมับยุบ ขมับบุ๋ม สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมเต็ม ทั้งการฉีดสารเติมเต็มและการเสริมด้วยวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่มีปัญหาตรงนี้จริงๆ มักจะเป็นฝรั่งหรือชาวคอร์เคเชียน เนื่องจากมีผิวบาง คอลลาเจนน้อย ทำให้ผิวเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อยเร็วกว่าคนไทยที่ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาไขมันเกินมากกว่า แต่ก็สามารถพบคนที่มีปัญหาใบหน้าตอบได้เช่นกัน แล้วขมับตอบเกิดจากสาเหตุอะไร?

 

 

สาเหตุของขมับตอบ

 

ขมับที่ตอบ หรือยุบตัวลงไป มองเห็นเป็นรอยบุ๋ม เหมือนมีหลุมอยู่บริเวณขมับ เกิดจากโครงสร้างกะโหลกศีรษะของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปกระดูกด้านหน้าบริเวณหน้าผาก ขมับ แก้ม คาง กล้ามเนื้อจะบางและค่อนข้างอยู่ชิดกับผิวหนัง หากเอามือจับก็จะเจอกับกระดูกได้เลย แต่ด้านข้างบริเวณขมับจะมีหลุมที่เป็นกล้ามเนื้อใหญ่ ซึ่งในบางคนอาจเป็นหลุมลึก เนื่องจากกล้ามเนื้อด้านในมีขนาดเล็กหรือฝ่อมากกว่าคนอื่น ทำให้พื้นที่ด้านในไม่เต็มพอดีกับผิวหนังด้านนอก จึงมองเห็นว่าบริเวณขมับตอบหรือเป็นรอยบุ๋มลงไป

 

 

ขมับตอบ ยังเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เมื่เราอายุยังน้อย ผิวหน้าจะเต่งตึงกระชับ มีความอ่อนเยาว์ตามธรรมชาติ เนื่องจากโปรตีนหลัก 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) และเนื้อเยื่ออีลาสติน (Elastin) ที่เป็นโครงสร้างของผิว รวมทั้งเนื้อเยื่อโดยรอบยังคงแข็งแรงเต่งตึง แต่เมื่ออายุมากขึ้นเนื้อเยื่อเหล่านี้เริ่มหดและเหี่ยวตัวลง มีปริมาณลดน้อยลง มีการเกาะตัวน้อยล รูขุมขนกว้างขึ้น ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มหรือรอยของผิวที่ยุบลงไป นอกจากนี้ยังมีความหย่อนคล้อยและการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อใบหน้าส่วนอื่น เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก ร่วมด้วย ดังนั้น สาเหตุของความแก่ชราและใบหน้าตอบ จึงเกิดจากความหย่อนคล้อนและโครงสร้างของผิวที่เสื่อมสภาพทั้งภายในและภายนอกร่วมกัน

 

 

สัดส่วนใบหน้า (Facial Proportion) หลักสำคัญในการปรับรูปหน้า

 

ในการปรับเปลี่ยนสัดส่วนต่างๆ ของใบหน้าให้มีความสมดุล เปลี่ยนจากความแก่ชราให้กลับมาอ่อนเยาว์นั้น แพทย์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโครงสร้างของใบหน้าแต่ละบุคคล โดยยึกทฤษฎีใบหน้าที่สวยงามเป็นหลัก ซึ่งมีสัดส่วนใบหน้าที่สอดคล้องกับสัดส่วนเทพประทาน หรือ The Divine Propotion ซึ่งมีค่าตัวเลขระหว่าง 1-1.618 โดยวัดได้จากมุมตรงหจ้าของใบหน้า โดยให้อัตราส่วนความกว้างของรูปหน้าเท่ากับ 1 (วัดจากโหนกแก้มข้างหนึ่งไปยังอีกข้งหนึ่ง) ต่อความยาวของรูปหน้าเท่ากับ 1.618 (วัดจากหัวจรดคาง) ถ้าค่าที่วัดได้ปกติหรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ถือว่าเป็นใบหน้าที่สมส่วน (Mesofacial) สวยงาม

 

 

โดยใบหน้าที่มีความสมดุลนั้นแบ่งออกเป็น 3 สัดส่วนหลักด้วยกันซึ่งได้แก่ สัดส่วนที่ 1  ใบหน้าส่วนบน คือ บริเวณหน้าผากเหมือนเบ้าตา วัดจากไรผมลงมาถึงคิ้ว และวัดจากขมับด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน สัดส่วนที่ 2 ใบหน้าส่วนกลาง คือ บริเวณจมูก กระบอกตา และกรามบน วัดจากคิ้วลงมาถึงปลายจมูก และสัดส่วนที่ 3 ใบหน้าส่วนล่าง คือ บริเวณริมฝีปากคาง และกรามส่วนล่าง วัดจากปลายจมูกถึงคาง โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ จะต้องมีสัดส่วนใกล้เคียงหรือเท่าๆ กัน จึงจะเป็นใบหน้าที่สวยงาม การปรับใบหน้านอกจาก “สัดส่วน” ที่ต้องปรับให้สมดุลแล้ว ยังต้องปรับ “มิติ” ของใบหน้าให้มีความสมดุลกันด้วย การปรับมิติให้กับใบหน้าในที่นี้ก็คือการเติมความพร่องและการลดความเกิน เมื่อแพทย์พิจารณาจากเค้าโครงและองค์ประกอบของใบหน้าแล้ว จึงทำการวิเคราะห์เพื่อพิจารณารักษาในขั้นตอนต่อไป

 

 

วิธีการเติมเต็มขมับ

 

วิธีการรักษาขมับตอบ ขมับยุบ ขมับบุ๋ม คือ การเติมเต็มส่วนที่พร่องหายไป แต่การรักษาด้วยการเติมเต็มนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริเวณไหนของร่างกาย ต้องขึ้นอยู่กับโครงสร้างตามธรรมชาติของบริเวณนั้นๆ ด้วย ว่าเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นการเติมเต็มบริเวณใต้ตาจะต้องเติมด้วยเนื้อเยื่ออ่อน (Soft Structure) เนื่องจากโครงสร้างตามธรรมชาติบริเวณใต้ตาเป็นเนื้อเยื่ออ่อน หรือจมูก ซึ่งส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อแข็ง (Rigid Structure) หากเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งโดยส่วนใหญ่ มำจะแนะนำให้ผ่าตัดเสริมด้วยซิลิโคน ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อแข็งเช่นเดียวกันสำหรับบริเวณขมับอย่างที่ได้พูดไว้ในตอนต้น คือ ช่องของกล้ามเนื้อและไขมัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะนำมาเติมจึงต้องเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งก็คือฟิลเลอร์นั่นเอง หรือในบางกรณีก็สามารถเสริมด้วยวัสดุเทียมที่มีลักษณะเนื้อเยื่อใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อขมับได้เช่นกัน

 

 

1.การฉีดเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ โดยส่วนใหญ่แล้วหลายคนอาจสับสนว่าฟิลเลอร์คืออะไร เนื่องจากเป็นคำที่มีความหมายกว้าง “ฟิลเลอร์” (Filler) หมายถึง “สารเติมเต็ม” ซึ่งมีหลายประเภท แต่ฟิลเลอร์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ “กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA)” ที่จะต้องมีความบริสุทธิ์หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์และต้องไม่เป็นสิ่งที่ตกค้างในร่างกาย ข้อดีของกรดไฮยาลูรอนิก คือ มีข้นตอนการรักษาที่ง่ายและมีสถานพยาบาลให้การรักษาหลายแห่ง ข้อเสียคือ เป็นการรักษาที่ไม่ถาวร โดยมีอายุอยู่ได้นาน 6-12 เดือน อาจมีอาการแพ้ และในระหว่างนั้นสามารถยุบลงได้ จึงต้องฉีดเพิ่มเติมภายหลัง ฟิลเลอร์อีกชนิดหนึ่งก็คือ “ไขมันตนเอง (Fat)” โดยการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ต้นขา สะโพก หน้าท้องแล้วนำกลับมาฉีดเข้าที่ใบหน้า การฉีดไขมันตนเองให้ได้ผลดีไม่ว่าจะฉีดตรงไหนก็ตามจะมีปัญหาสองเรื่อง เรื่องแรก คือ การยุบตัวของเซลล์ไขมัน (Absorb, Resorption) การฉีดเข้าที่ใบหน้าเซลล์ไขมัน จึงต้องมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเพื่อให้มีชีวิต แต่การฉีดในปริมาณมากจะทำให้เนื้อเยื่อตรงกลางของก้อนไขมันไม่สัมผัสกับส่วนของเนื้อเยื่อที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงอยู่ เซลล์ไขมันนั้นจึงฝ่อตัวลงและตายในที่สุด ดังนั้น ไขมันจึงมีการยุบตัวอย่างหลากหลายตั้งแต่ 40-70 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเซลล์ไขมันมีชีวิตแล้วก็จะคงอยู่อย่างถาวร

 

 

เรื่องที่สองคือความเรียบเนียนของเซลล์ไขมัน (Smooth) เนื่องจากไขมันมีลักษณะเป็นเม็ดๆ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วอาจมีความไม่เรียบเกิดขึ้น ซึ่งการฉีดที่ใบหน้าจะเป็นบริเวณที่ต้องการความละเอียดค่อนข้างสูง ดังนั้น ส่วนใหญ่แพทย์ จึงใช้เป็นลักษณะของไขมันขนาดเล็กที่เรียกว่า Nano Fat Graft หรือ Micro Fat Transfer ซึ่งต้องใช้เครื่องมือแพทย์ที่พิเศษกว่าปกติ เช่น หัวดูดจะต้องเปลี่ยนเป็นหัวที่ละเอียดขึ้น มีความพิถีพิถันในกระบวนการของการทิ้งไขมันไว้ก่อนนำกลับมาฉีด การแยกชั้นของไขมัน การแยกชั้นของเลือดและน้ำเหลืองออก การใช้เครื่องมือฉีดที่ละเอียดขึ้น ซึ่งจะทำให้เซลล์ไขมันที่จะนำมาฉีดความละเอียดขึ้น ทำให้เวลาที่ฉีดกลับเข้าไปที่ใบหน้าแล้วได้ความเรียบเนียนมากขึ้น ข้อดีของการฉีดด้วยไขมันตนเองคือเป็นเซลล์ของตัวเอง จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้

 

 

การฉีดเสริมขมับด้วยกรดไฮยาลูรอนิกมีขั้นตอนที่ง่ายกว่าการฉีดเสริมด้วยไขมัน ซึ่งแพทย์สามารถฉีดยาชาบริเวณที่จะทำการรักษาแล้วฉีดได้เลย แต่การฉีดเสริมด้วยไขมันต้องมีขั้นตอนของการเตรียวเซลล์ไขมันที่จะนำมาฉีดให้กับคนไข้ โดยการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย ได้แก่ ต้นขา สะโพก หน้าท้อง ที่โดยปกติแล้วเป็นไขมันส่วนเกิน ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของคนไข้ จากนั้นจึงนำมาฉีดกลับเข้าไปที่ใบหน้า บริเวณที่จะทำการดูดไขมันเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ดังนั้น แพทย์อาจใช้การฉีดยาชาแล้วจึงดูด หรือในกรณีที่คนไข้กลัวมาก อาจให้แพทย์ดมยาเป็นผู้ให้ยา เพื่อให้คนไข้หลับ และคอยสังเกตการณ์ในระหว่างการรักษาด้วย ซึ่งปริมาณของไขมันในการนำมาฉีดต้องดูความเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไปแต่ขมับเป็นพื้นที่เล็กๆ จึงใช้เซลล์ไขมันในปริมาณที่ไม่มากนัก ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

 

 

2.การผ่าตัดเสริมด้วยวัสดุเทียม การเสริมด้วยวัสดุเทียม เช่น ซิลิโคน หรือกระโหลกเทียม โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเสริมใบหน้าส่วนหน้าบริเวณหน้าผาก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อแข็งเช่นเดียวกัน การเสริมด้วยวัสดุเทียมจะเป็นการสั่งทำเฉพาะบุคคล หรือ Custom Made ซึ่งต้องทำการเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์แล้วนำไปทำแบบ 3D แล้ว จากนั้นจึงค่อยนำมาผ่าตัดเสริมให้กับคนไข้ วิธีนี้ประยุกต์มาจากการใช้รักษาและซ่อมแซมใบหน้าและกะโหลกศีรษะในคนที่ได้รับอุบัติเหตและเสียโฉมอย่างรุนแรง มีการผ่าตัดกระดูกที่สูญเสียไป จึงต้องทำกะโหลกเทียมแล้วนำมาใส่ให้กับคนไข้ เพื่อเสริมใบหน้าให้กลับมาเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงของเดิมให้มากที่สุด เป็นการนำความรู้ในทางเสริมสร้าง (Reconstruction) มาประยุกต์ใช้กับพัฒนาการทางด้านความงาม (Cosmetic) ซึ่งในบางครั้งความรู้ทางด้านความงามก็นำไปใช้ในทางเสริมสร้างเช่นกัน

 

 

ดังนั้น คนที่มีปัญหาเรื่องขมับตอบ ขมับยุบ หรือขมับบุ๋ม จึงสามารถแก้ไขได้ด้วย 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การฉีดด้วยกรดไฮยาลูรอนิก การฉีดด้วยไขมันตนเอง และการเสริมด้วยวัสดุเทียม ซึ่งแต่ละวิธีมีขั้นตอนการรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่การเตรียมตัวก่อนการรักษาโดยภาพรวมนั้น เป็นวิธีการพื้นฐานที่เหมือนกับการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดทั่วไป นั่นคือ คนที่ทานยาและวิตามินเสริมบางอย่าง เช่น ยาแอสไพริน น้ำมันปลา วิตามินอี ฯลฯ เป็นประจำ ต้องงดทานก่อนทำการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากทำให้เลือดออกง่าย คนไข้ควรเตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หากมีโรคประจำตัวหรือยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

 

 

หลังการรักษาด้วยการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิด คนไข้สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้เลย สามารถล้างทำความสะอาดใบหน้าทาครีมได้ตามปกติ ส่วนการฉีดด้วยไขมันตนเอง หลังฉีดไม่ควรประคบเย็น เพราะการประคบเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ซึ่งการเติมเต็มด้วยไขมัน ต้องการเส้นเลือดเพื่อไปเลี้ยงเซลล์ไขมันให้มีชีวิต จึงต้องละเว้นพื้นที่ที่มีเซลล์ไขมันเอาไว้ โดยอาจประคบเป็นบริเวณเล็กๆ เฉพาะจุดที่ฉีดได้เลี่ยงการนอนตะแคง เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณที่รักษา โดยเฉพาะช่วงยังไม่มีเส้นเลือดเป็นของตัวเอง อาจต้องรออย่างน้อย 3 สัปดาห์ขึ้นไป เซลล์ไขมันถึงจะมีความแข็งแรงมากขึ้น ส่วนในบริเวณที่ทำการดูดไขมันออกมาควรใส่ถุงน่องทางการแพทย์พยุงเอาไว้ เพื่อช่วยกระชับแผลให้เข้าที่ หลังการรักษาบริเวณจุดฉีดจะมีรอยแผลเป็นขนาดเล็ก และเสริมขมับหรือหน้าผากด้วยซิลิโคนหรือกะโหลกเทียม แต่ก็พบได้ไม่มากเนื่องจากเป็นการเปิดแผลขนาดเล็ก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาโดยการฉีดฟิลเลอร์และไขมันโดยประมาณอยู่ที่ 20,000 บาทขึ้นไป ส่วนการเสริมด้วยซิลิโคนหรือกะโหลกเทียมนั้น มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันออกไป ควรสอบถามค่าใช้จ่ายกับสถานพยาบาล และแห่งก่อนทุกครั้ง

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนใบหน้าที่หลายคนมองข้าม แต่ส่วนที่พร่องไปบริเวณขมับจนทำให้เกิดรอยบุ๋มหลุมลึก ก็ทำให้มิติของใบหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นหน้าตอบไม่อิ่มเอิบสดใส ทำให้เกิดความไม่สวยงามบนใบหน้าและส่งผลให้ผู้ที่มีใบหน้าตอบเกิดความไม่มั่นใจในตนเองได้ หากคุณส่องกระจกอยู่ทุกวันแล้ววิจารณ์ตัวเองว่าฉันมีรูปหน้า ที่ต้องปรับให้ได้สัดส่วนตรงนั้นตรงนี้ แนะนำว่าลองเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องเพราะการเลือกวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเอง และได้รับการรักากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ก็จะทำให้การทำศัลยกรรมใบหน้านั้นเป็นที่ประสบความสำเร็จ

 

 

“คนไข้ต้องเข้าใจก่อนว่าฟิลเลอร์ใช้เพื่ออะไร และอย่าใช้คำว่าฟิลเลอร์อย่างเดียว หากต้องการปรับรูปหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์ให้ระบุไปเลยว่า ไฮยาลูรอนิก แอซิด” เพราะฟิลเลอร์เป็นคำที่กว้างมาก หากคนไข้มีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปรักษากับบุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์และสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน เราก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเขาจะเอาอะไรมาฉีดให้ เพราะถ้าเป็นสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่แล้ว จะมีการนำยาที่ใช้ในการรักษามาให้คนไข้ดูก่อนว่าจะฉีดตัวไหน เป็นกล่องที่แกะใหม่ ไม่ได้เป็นการใช้ร่วมกับผู้อื่นโดยวิธีการแบ่งยา แต่ถ้าสถานพยาบาลนั้นไม่มีการให้ดู คนไข้ก็สามารถขอดูกล่องได้และสอบถามกับทางคุณหมอว่าจะฉีดตัวไหนให้ และเวลาที่ไปปรึกษาแพทย์ เอาข้อมูลทั้งหมดมาก่อน และอาจจะไม่ต้องใจร้อนรีบทำ อาจจะขอข้อมูลเสร็จแล้ว ลองกลับไปค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก่อนว่าตัวยาที่เขาจะใช้กับเราถูกต้องมัย แล้วค่อยนัดวันรักษาอีกทีก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน ขอให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมาก่อนก็จะทำให้การรักษาปลอดภัยกว่า และเลือกถสานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน อย่าเอาราคาเป็นหลักในการเลือกทำศัลยกรรมสิ่งเหล่านี้เป็นของนอกกาย ถ้าทำไม่ได้หรือว่าสร้างความลำบากให้เรา เรื่องค่าใช้จ่ายหรือกระทบต่อเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ควรทำ แต่ถ้าคนไข้มีความพร้อมเรื่องค่าใช้จ่าย ทำแล้วได้ประโยชน์ เกิดผลดีก็สามารถทำได้ครับ”

 

 

นายแพทย์ฉัตรพงษ์ ศาสตรสาธิต

ศัลยแพทย์ตกแต่ง นิรันดาคลินิก

(Some images used under license from Shutterstock.com.)