
© 2017 Copyright - Haijai.com
หน้ากระชับด้วยไหมสเต็มเซลล์ 4D Stem Cell Thread Lift
ถ้าจะพูดถึงวีธีการยกกระชับใบหน้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุคนี้ คงจะหนีไม่พ้นการร้อยกระชับด้วยไหม เพราะเป็นวิธีที่ไม่เจ็บตัว เพราะไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวเร็ว ไม่มีแผลเป็น และให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ หากเลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่ตรงใจได้มาตรฐาน เราคุ้นเคยกับการนำ “เส้นไหม” มาใช้ในเรื่องความสวยความงามกันมานานแล้ว แต่ในตอนนี้ได้มีการยกระดับอัพเลเวลให้กับไหมอีกขั้น ด้วยการเคลือบ “สเต็มเซลล์” กลายเป็น “ไหมสเต็มเซลล์” เมื่อนำมาร้อยเข้าที่ใบหน้าว่ากันว่าจะทำให้ใบหน้าสวยใสอ่อนกว่าวัยเพิ่มขึ้นถึง 4 มิติ
วิวัฒนาการของไหมในการยกกระชับหน้า
เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ใบหน้าที่เคยเต่งตึงและดูอ่อนเยาว์ก็เกิดความหย่อนคล้อยไม่กระชับดังเดิม หลายคนจึงสรรหาสารพัดวิธีที่จะยกกระชับผิวหน้าให้กลับมาอ่อนวัยให้ได้มากที่สุด ด้วยวิธีการทางการแพทย์ทำให้การดูแลรักษาและคงใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์นั้นมีหลากหลายวิธี ทั้งการทำศัลยกรรมและไม่ศัลยกรรม การยกกระชับใบหน้าด้วยไหมนับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยชะลอวัย ทำให้ภาพรวมของใบหน้าดูกระชับมากขึ้น สำหรับไหมที่นำมาใช้ในการยกกระชับหน้า โดยหลักแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ไหมละลายกับไหมไม่ละลาย วิวัฒนาการในการนำเส้นไหมมาใช้ยกกระชับใบหน้าในช่วงแรกจะเป็นการใช้ไหมชนิดที่ไม่ละลาย เรียกว่าไหม Aptos Threads ลักษณะเป็นไหมที่มีเงี่ยงเล็กๆ ตลอดเส้นเพื่อดึงรั้งเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังให้ตึงขึ้น ซึ่งเข็มที่ใช้ร้อยมีขนาดใหญ่ทำให้ขณะทำรู้สึกเจ็บมาก หลักงทำเกิดการบวมช้ำมาก และส่งผลให้เกิดปัญหาในระยะยาว เช่น เงี่ยงไหมโผล่ออกมาจากผิวหนัง ซึ่งต้องผ่าตัดนำไหมออก หรือเงี่ยงหลุดออกไม่สามารถดึงรั้งผิวหนังได้อีกต่อไป ทำให้ไม่ได้ผลการรักษาดังที่ต้องการ ไหมชนิดนี้จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม
ต่อมามีการช้ไหมที่เรียกว่า Gold Thread หรือไหมทองคำ ข้อดีคือหลังทำบอบช้ำน้อยกว่า แต่ต้องหลีกเลี่ยงความร้อนหรือทรีตเม้นท์ต่างๆ และถ้าเกิดความผิดพลาดในการรักษาต้องผ่าตัดนำไหมออก และมีค่าใช้จ่ายสูง ที่สำคัญคือไหมทั้งสองชนิดยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาจากประเทศไทย ดังนั้น ไหมที่นำมาใช้ในวงการศัลยกรรมความงามโดยส่วนใหญ่ จึงเป็นไหมละลายที่เรียกว่า Polydioxanone หรือ PDO ซึ่งเป็นไหมละลายที่ใช้ในการเย็บผนังเส้นเลือดหัวใจ มีความปลอดภัยผลข้างเคียงน้อย และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทยและทั่วโลก
ลักษณะของไหมละลายที่นำมาใช้ยกกระชับใบหน้ามีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งไหมที่สามารถร้อยได้เลย โดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัดแบบเจาะรู เช่น ไหมเส้นเรียบธรรมดา ไหมกรวย ไหมเงี่ยง ไหมเกลียว หรือไหมกึ่งผ่าตัด คือ ต้องเปิดห้องผ่าตัดเพื่อทำการร้อยเข้าไปในผิวหน้า เนื่องจากไหมมีขนาดใหญ่กว่าไหมละลายทั่วไป เช่น ไหมทอร์นาโด ไหมสปริง ฯลฯ ไหมละลายเหล่านี้นับว่าเป็นที่คุ้นเคยกันดีในบรรดาคนที่อยู่ในแวดวงศัลยกรรม แต่ปัจจุบันได้มีไหมชนิดใหม่ถือกำเนิดขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของคนไข้ที่อยากได้ความยกกระชับและอ่อนเยาว์แบบขั้นกว่าไหมชนิดที่ว่านี้คือ “ไหมสเต็มเซลล์”
“ไหมสเต็มเซลล์” แตกต่างจาก “ไหมทั่วไป” อย่างไร
ความแตกต่างของไหมทั่วไปที่นำมาร้อยยกกระชับหน้ากับไหมสเต็มเซลล์ คือ ไหมสเต็มเซลล์เป็นเส้นไหมที่มีสเต็มเซลล์เคลือบอยู่ โดยหลักการแล้วการรักษาด้วยไหมเป็นการเน้น ดึงผิวหนังที่หย่อนให้ตึงขึ้น สามารถร้อยกรอบหน้าที่หย่อนให้ยกกระชับขึ้นได้ แต่เมื่อเกิดการทำงานสอดประสานร่วมกับสเต็มเซลล์ที่เคลือบมากับเส้นไหม ซึ่งมีหลักการคือช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวได้ดีขึ้น เมื่อไหมถูกร้อยไปตามใบหน้าสเต็มเซลล์ที่อยู่ในเส้นไหมก็จะช่วยกระตุ้นทำให้เซลล์ผิวมีการสร้างเซลล์ใหม่ได้ดีขึ้น พร้อมกับยกกระชับหน้าไปในขณะเดียวกัน
โดยเทคนิคในการร้อยยกกระชับหน้าคือ ในแนวแรกจะร้อยเป็นแนวเดียวกับกล้ามเนื้อ ส่วนแนวที่สองร้อยตั้งฉากกับแนวแรก ทำให้เกิดการสานกันเป็นร่างแหในผิวหนัง เมื่อไหมเกิดการสานกันเป็นร่างแหก็จะทำให้เกิดแรงตึง หลายแรงตึงทำให้เกิดแรงยก การรักษาด้วยไหมจึงสามารถร้อยกรอบหน้าที่หย่อนให้ยกกระชับขึ้นได้ ผลการรักษาด้วยไหมส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 20-70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่สามารถให้ผลการรักษาได้เทียบเท่ากับการผ่าตัด ที่ทำให้ใบหน้าตึงกระชับมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัดและไม่อยากพักฟื้นเป็นเวลานานๆ
ส่วนคุณสมบัติของสเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือ เซลล์ต้นกำเนิด คือ สามารถเหนี่ยวนำเซลล์ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ให้ฟื้นฟูกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง โดยสเต็มเซลล์มีลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ คือ สามารถแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ได้เป็นเวลานาน เป็นเซลล์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงและมีความสามารถในการเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้ ในปัจจุบันมีการวิจัยสเต็มเซลล์ 2 แบบ คือ สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ (Embryonic Stem Cell) และสเต็มเซลล์เต็มวัย (Adult Stem Cell) ในประเทศไทยได้มีการวิจัยสเต็มเซลล์เต็มวัยก่อนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะส่วนที่ได้จากไขกระดูกและสายสะดือเด็กหลังคลอด ซึ่งสามารถนำมารักษาโรคต่างๆ ได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เบาหวาน ธาลัสซีเมีย เป็นต้น ทางด้านความงามมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้เช่นเดียวกัน โดยหลักการเบื้องต้นคือการนำสเต็มเซลล์ไปเพาะเลี้ยงภายนอก เพื่อให้มีจำนวนมากขึ้น แล้วฉีดกลับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวให้ทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้น ปัจจัยที่ทำให้ใบหน้าตึงกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้นจากการใช้ไหมสเต็มเซลล์มารักษา ได้แก่ ลักษณะทิศทางการร้อยที่สานกันเป็นร่างแห ทำให้เกิดแรงดึง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่เข็มแทงลงไปจะเกิดการบาดเจ็บเล็กๆ ใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการสร้างเส้นเลือดใหม่ใต้ผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการสร้างเส้นเลือดใหม่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น และเนื้อเยื่อบริเวณที่ทำการรักษาจะถูกกระตุ้นด้วยเส้นไหมที่เคลือบด้วยสเต็มเซลล์ ทำให้ผลิตคอลลาเจนตามธรรมชาติขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน หลังการรักษา ร่างกายก็จะสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แรงดึงของไหมทำให้ใบหน้าถูกยกกระชับขึ้น สเต็มเซลล์ที่อยู่ในเส้นไหมช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ผลที่ได้คือการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับเซลล์ผิวแบบ 4 มิติ
มิติที่ 1 เป็นการยกกระชับใบหน้า ลดความหย่อนคล้อย ทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้น
มิติที่ 2 ช่วยลดริ้วรอยและร่องลึก โดยเฉพาะในจุดที่ฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ไม่สามารถจัดการได้
มิติที่ 3 ปรับผิวให้เรียบเนียน เติมเต็มร่อง หลุมสิว รอยแผลเป็น
มิติที่ 4 ช่วยปรับผิวให้ขาว สว่าง กระจ่างใสมากขึ้น
ทั้งนี้การรักษาด้วยไหมสเต็มเซลล์เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี ยังรวมถึงเทคนิคและความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นสำคัญด้วย หากใครที่ต้องกรยกกระชับหน้าด้วยไหม และอาจจะคิดไปว่าใบหน้ากลมหรือเหลี่ยมอย่างเราสามารถร้อยได้หรือไม่ โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าใบหน้าของคุณจะเป็นใบหน้าที่กลม หน้าสามเหลี่ยม หน้าสี่เหลี่ยม เป็นรูปหัวใจ หรือรูปเพชร ก็สามารถรักษาด้วยไหมสเต็มเซลล์ได้ทั้งนั้น เพราะจุดประสงค์ส่วนใหญ่ของการรักษาคือ เป็นการทำให้ใบหน้าเต่งตึงยกกระชับขึ้น
ขั้นตอนการรักษาด้วยไหมสเต็มเซลล์
ก่อนการรักษาคนไข้ควรมีการเตรียมตัวโดยการงดวิตามินและอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โอเมก้า 3 ที่ทำให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งจะส่งผลให้มีเลือดออกได้ง่าย หลังทำช้ำเขียวง่าย ดังนั้น ควรงดก่อนมาทำการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อถึงวันนัดหมายแพทย์จะให้คนไข้ล้างหน้าให้สะอาด แล้วจึงทำการแปะยาชาบริเวณที่ต้องการยกกระชับ รอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30-45 นาที หลังจากนั้นแพทย์นำเส้นไหมเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิว โดยใช้การร้อยเรียงเส้นไหมโดยใช้เข็มขนาดเล้ก ลักษณะการร้อยจะเป็นการร้อยแบบการด้นเข้มและเรียงเป็นตาข่ายสานกันทำให้เกิดแรงตึงเพิ่มขึ้น ซึ่งการร้อยแพทย์จะพิจารณาตามโครงสร้างใบหน้าของคนไข้เป็นหลัก เมื่อร้อยเสร็จแล้วรูขุมขนจะเปิด แพทย์จะทำการเหยาะสเต็มเซลล์เข้มข้นลงไปอีกครั้ง แล้วเกลี่ยให้ทั่วทั้งใบหน้า ทำให้ผิวหน้าของคนไข้ได้รับสเต็มเซลล์อย่างเต็มที่ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง แล้วสามารถกลับบ้านได้
หลังทำการรกัษาแทพย์จะให้ประคบเย็นเพื่อลดบวม รวมทั้งอาจให้รับประทานยาแก้ปวดตามอาการ ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 20-30 นาที ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เขียว บวม โดยประมาณหลังทำ 3-4 วัน อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้น หลังทำคนไข้สามารถเห็นผลการรักษาได้ทันที แต่โดยทั่วไปแล้วจะเห็นผลชัดเจนประมาณ 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน เป็นต้นไป คนไข้จะรู้สึกได้ว่าใบหน้าตึงกระชับขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน กระจ่างใสมากขึ้นอีกด้วย การดูแลรักษาหลังทำ คนไข้สามารถล้างหน้าและทาครีมได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการออกแดด ความร้อน งดซาวน่า อบไอน้ำ เนื่องจากไหมที่ใช้รักษาเป็นไหมชนิดละลาย ถ้าเส้นไหมโดนความร้อนจะทำให้เส้นไหมละลายเร็วมากขึ้น ทำให้ไม่คุ้มค่ากับการรักษาทั้งเงินและเวลาที่เสียไป ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยไหมอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท
รักษาด้วยไหมสเต็มเซลล์ร่วมกับวิธีอื่นๆ
นอกจากนั้นยังมีวิธีอื่นๆ ที่นำมาใช้รักษาร่วมกับรักษาด้วยไหม ได้แก่ การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ซึ่งเป็นการทำให้ผิวดูอ่อนวัย ตึงกระชับด้วยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในผิวหนังบริเวณร่องลึก แผลเป็นหลุม หรือมีริ้วรอยเล็กๆ เพื่อเติมเต็มร่องหรือริ้วรอยนั้นให้ตื้นขึ้น บริเวณต่างๆ ที่นิยมรักษาด้วยฟิลเลอร์ เช่น ร่องแก้ม รอยขมวดคิ้ว ริ้วรอยเล็กๆ รอบริมฝีปาก แผลเป็นหลุม รอยตีนกา คนที่มีใบหน้าตอบ แก้มตอบ ขมับบุ๋ม นอกจากนั้นยังนำมาใช้ในรเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มขึ้นอีกด้วย โดยสารเติมเต็มทางธรรมชาติที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) คือ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic acid) และการฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum toxin-A-BOTOX) เป้นการทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ โดยหลีกเลี่ยงการผ่านตัด โบท็อกซ์ เป็นสารที่นำมาใช้รักษารอยย่นจากการแสดงสีหน้าที่ได้ผลดี โดยมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ ให้ทำงานน้อยลง จึงส่งผลให้ริ้วรอยจางลง รอยย่นรอบดวงตา รอยย่นบนหน้าผาก ระหว่างคิ้ว รอยย่นรอบริมฝีปาก ลำคอที่มีลักษณะเป้นปล้องและเหี่ยวย่น ใช้ปรับรูปหน้ารวมถึงสามารถนำมาใช้ลดกลิ่นเต่าได้ด้วย
นอกเหนือจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่สามารถช่วยยกกระชับใบหน้า เช่น การใช้เลเซอร์ (Laser) คลื่นเสียง (Ultrasound) คลื่นวิทยุ (Radio frequency) ฯลฯ เข้ามาช่วยในการรักษาสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัด วิธีเหล่านี้จึงช่วยชะลอวัยได้ โดยที่คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัว แต่ถ้าใครที่อยากได้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด การผ่าตัดดึงหน้าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะได้ผลชัดเจนเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ข้อเสีย คือ ต้องดูแลแผลและใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นที่นานกว่า แต่เทคนิคการผ่าตัดในตอนนี้ก็เป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็กหรือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งหลังทำคนไข้สามารถกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้เลย โดยที่ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่สถานพยาบาล แผลหายเร็วฟื้นตัวเร็ว ผลข้างเคียงหลังทำ เช่น บวม ช้ำ น้อยกว่าการผ่าตัดแบบทั่วไป การยกกระชับหน้าด้วยไหมค่อนข้างเป็นที่ย่อมรับในวงการแพทย์ในด้านความสวยความงามในปัจจุบัน แต่การมีสเต็มเซลล์เข้ามาเสริมในเส้นไหม เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ในการรักษาให้ดีขึ้นนั้น คนที่จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่งก็คือตัวคนไข้เอง ซึ่งหากยังไม่มั่นใจกับการรักษาด้วยไหมสเต็มเซลล์อาจรักษาด้วยไหมทั่วไปก่อน ซึ่งสามารถทำให้หน้ายกกระชับขึ้นได้ เพราะความสวยงามอ่อนเยาว์และดูดีอยูเสมอ เป็นความใฝฝันของทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และเทคโนโลยีด้านความงามก็พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหมั่นอัพเดทข้อมูลข่าวสารด้านความงาม เพื่อความรู้เท่าทันถึงประโยชน์ โทษ หรือผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและป้องกันปัญหาที่จะเกิดตามมา
“การยกกระชับใบหน้าด้วยไหมสเต็มเซลล์ปัจจุบันสามารถทำได้ เพียงแต่ว่าก่อนทำให้ตรวจสอบข้อมูลและความปลอดภัยเป็นหลัก เนื่องจากมีคนไข้หลายรายที่ไปทำการรักษากับหมอกระเป่าแล้ว ทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง โดยเฉพาะการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ที่มีความเสี่ยงมากกว่าการรักษาด้วยฉีดโบท็อกซ์และไหม ดังนั้น ให้ทำการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่าเชื่อคำแอบอ้างจากโฆษณาต่างๆ ตรวจสอบข้อมูลและความน่าเชื่อถือของแพทย์ สถานพยาบาล และคุณภาพของการบริการให้ดีก่อนตัดสินใจ รวมทั้งสอบถามจากคนที่เคยทำมาแล้ว ดูผลงานของแพทย์ที่ผ่านๆ มา ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำการรักษาทุกครั้ง”
พญ.ธวลิดา เวชชวณิชย์
ศัลยแพทย์ความงามและแก้ไขโครงหน้า
แพทย์ผิวหนังเลเซอร์ศัลยกรรม
(Some images used under license from Shutterstock.com.)