
© 2017 Copyright - Haijai.com
โฮมีโอพาธีย์ หนามยอก ต้องเอาหนามบ่ง
บทความเรื่อง “โฮมีโอพาธีย์” (Homeopathy) ผู้เขียนเขียนอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ร่างกายมีความสามารถในการรักษาซ่อมแซมตัวเองได้ การเจ็บป่วยเกิดจากระบบซ่อมแซมตัวเองของร่งกายไม่ทำหน้าที่อย่างที่เคยทำ และสุขภาพดีหมายรวมถึงความสมบูรณ์ของกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
โฮมีโอพาธีย์เป็นการแพทย์ที่เกิดมา 200 ปีแล้ว เริ่มจากในประเทศเยอรมัน ผู้ค้นพบศาสตร์นี้คือ Samuel Hahnemann ซึ่งเป็นแพทย์แผนปัจจุบันในสมัยนั้น เขาพบว่าการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนแพทย์แผนปัจจุบัน ผู้ป่วยกลับมีโอกาสตายมากกว่าปล่อยไว้เฉยๆ เสียอีก เขาจึงเลิกอาชีพแพทย์มาทำงานแปลหนังสือแทน วันหนึ่งเขาพบข้อความที่สะกิดใจจากตำรายาสมัยนั้นที่ว่า ยาควินินที่ได้จากเปลือกของต้นซิงโคนาสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรียได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ฝาดสมาน ด้วยความรู้ของ Hahnemann เขาทราบว่าต้นไม้ที่ฝาดกว่านี้ก็มี แต่ทำไมไม่ได้ผลในการรักษา ทำไมต้องเปลือกต้นซิงโคนาเท่านั้น เขาจึงลองนำเอาเปลือกต้นไม้นี้มากิน และพบว่าเขามีอาการคล้ายคนเป็นไข้มาลาเรียทุกอย่าง เมื่อเขาหยุดกินเปลือกต้นซิงโคนา อาการก็หายไปเขาทำการทดลองแบบนี้ต่อกับเพื่อน ภรรยา ลูกๆ ของเขา และก็ได้ข้อสรุปว่าหลักการโบราณที่ฮิปโปเครติส บิดาแห่งการแพทย์ในสมัยกรีกเสนอไว้น่าจะจริง คือ สามารถนำเอายาที่มีฤทธิ์คล้ายสิ่งที่เป็นโรคมาใช้รักษาได้ นำมาซึ่งคำว่า Homeopathy เป็นการรวมคำสองคำเข้าด้วยกัน ได้แก่ คำว่า Homeos ที่แปลว่า “คล้าย” และ Pathos แปลว่า “ความทุกข์”
โฮมีโอพาธีย์จึงหมายถึงการแพทย์ชนิดหนึ่ง ใช้เพื่อหวังผลให้เกิดการยกระดับสุขภาพของสิ่งมีชีวิต โดยใช้ยาที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว และยานั้นถูกจัดเตรียมมาโดยวิธีเฉพาะ ซึ่งการเลือกใช้ยาจะต้องเลือกยาตามปัจเจกบุคคล โดยใช้กฎของความคล้ายเป็นเครื่องมือในการเลือกยา
โฮมีโอพาธีย์เหมาะกับใคร
ก่อนอื่นผู้เขียนต้องบอกก่อนว่าโฮมีโอพาธีย์ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน การแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน สมุนไพรไทย สมุนไพรจีน ฝังเข็ม หรือการแพทย์อื่นๆ ก็ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน แต่ละคนย่อมเหมาะกับการรักษาแต่ละแบบไม่เหมือนกัน หากเราจะเอาการแพทย์ชนิดใดชนิดหนึ่งมารักษาคนทุกคนแล้วไซร้ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาได้
การพิจารณาว่าคนใดคนหนึ่งเหมาะกับการแพทย์ชนิดใดนั้น ขึ้นกับว่าปัญหาหลักของคนคนนั้นอยู่ในระดับไหนและเลือกการแพทย์ที่จัดการกับระดับของปัญหานั้นได้ดีมาใช้ครับ เราอาจแบ่งระดับปัญหาของผู้ป่วยได้เป็น 4 ระดับ แต่ละระดับก็มีการแพทย์ที่เหมาะอยู่ 4 ระดับ ได้แก่
• ระดับโครงสร้าง (Structure) ปัญหาที่อยู่ในระดับนี้จับต้องได้ง่าย เอาตาดูก็เห็น ถ้าตาเปล่ายังไม่เห็น ก็เอากล้องจุลทรรศน์ส่องหรือไม่ก็เอามือคลำ เจาะเลือดก็เจอ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการแพทย์แผนปัจจุบัน ถ้าคุณถูกรถชน ม้ามแตก ตกเลือดในช่องท้องแล้วละก็ ไม่ต้องคิดอะไรมากเลยครับ คุณควรไปโรงพยาบาลแพทย์แผนปัจจุบันทำการผ่าตัดโดยด่วนเพื่อห้ามเลือด ความดันโลหิตตกก็ให้น้ำเกลือ เสียเลือดมากก็เติมเลือด การแพทย์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ แพทย์แผนปัจจุบัน เป็นต้น
• ระดับโมเลกุล (Molecule) เช่น หากเกิดภาวะขาดสารอาหาร ก็ต้องนำสารอาหารที่ขาดนั้นมาเสริม นอกจากสารอาหารแล้ว การแทพย์ที่จัดอยู่ในระดับนี้ เช่น แมคโครไบโอติก โภชนบำบัด วิตามินบำบัด สมุนไพรไทย สมุนไพรจีน ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เพราะทำงานในระดับของโมเลกุลและเซลล์ให้เกิดความสมดุล
• ระดับพลังงาน (Energy) ในร่างกายยังมีพลังงานที่ถ้าไม่สังเกตให้ดีจะไม่เห็น ภาษาอังกฤษเรียกว่า SubtleEngergy ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณอยู่ในที่เย็นจัดๆ จนรู้สึกหนาวยะเยือก ยาอะไรก็ไม่สามารถแก้ความหนาวของคุณได้ สิ่งที่จะช่วยคุณให้ผ่านความหนาวนั้นไปได้ ก็คือ เสื้อผ้าที่เก็บความอุ่นของร่างกาย ชาอุ่นๆ สักแก้ว ช่วยเพิ่มอุณหภูมิในตัว หรือถุงน้ำร้อนสักอันเอามากอดไว้ในเสื้อ ถ้าขาดซึ่งพลังงานก็ต้องเติมด้วยพลังงานครับ การแพทย์ปัจจุบันทำการวัดพลังงานไฟฟ้าจากหัวใจมาเขียนเป็นคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และใช้ประโญชน์ในการวินิจฉัยโรค แต่เรื่องของพลังงานในร่างกายยังมีมากกว่านั้นครับ การแพทย์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ชี่กง เรกิ ฝังเข็ม Ostheopathy เป็นต้น ซึ่งทำการเติมพลังงานเข้าไปในร่างกาย หรือทำการจัดสรรพลังงานในร่างกายให้หมุนเวียนได้ดี
• ระดับข้อมูลข่าวสาร (Information) อันนี้จะฟังดูแปลกและไม่ค่อยคุ้นเคย แต่เรามักจะเคยเจอกันอยู่เรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่คุณผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ อารมณ์สงบคงที่ดี ทันใดนั้นก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด คุณหงุดหงิดนิดหน่อยกับการถูกขัดจังหวะในระหว่างการอ่าน แต่เมื่อรับโทรศัพท์ เสียงในสายโทรศัพท์กลับแจ้งมาว่าคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตเกิดประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงกระทันหันเมื่อ 5 นาทีนี้เอง แน่นอนครับ คุณยังนั่นอยู่ที่เดิม ถือหนังสือเล่มเดิม ต่อให้คุณยืนอยู่บนเครื่องชั่งน้ำหนัก น้ำหนักของคุณก็ยังเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้คุณรู้สึกไม่เหมือนเดิมแล้ว มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในตัวของคุณ อาทิ มึนงง ตกใจ หัวใจของคุณเต้นเร็ว คุณหายใจถี่ขึ้น ข้อมูลข่าวสารที่คุณได้รับสามารถเปลี่ยนความรู้สึกหงุดหงิดถูกขัดจังหวะ ให้กลายเป็นความตกใจรวมถึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้
นอกจากนี้ข้อมูลข่าวสารอีกหลายๆ แบบที่ไม่ได้ผ่านทางหูก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวของคุณได้ รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่ทำให้คุณเห็นโลกไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง บางคนรู้สึกไม่ดีเวลาที่ต้องไปยืนพูดหน้าห้อง ใจสั่น เหงื่อออก อาการแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ถ้าเราบังเอิญยืนอยู่ต่อหน้าสิงโตที่หลุดออกมาจากกรงในสวนสัตว์ แต่หน้าห้องที่เรายืนอยู่ไม่มีสิงโตจริงๆ นี่ครับ แต่ความรู้สึกกลับคล้ายกัน แสดงว่ามีข้อมูลบางอย่างในตัวเราที่ชวนให้เรารู้สึกผิดไปจากความเป็นจริง ข้อมูลข่าวสารที่รับรู้ผิดจากความเป็นจริง และข้อมูลข่าวสารที่กระตุ้นเราให้เกิดความรู้สึกเกินพอดีนี่แหละสามารถทำให้ภูมิต้านทานระบบการทำงานของร่างกายเรารวนได้ และนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพ การปรับ Information ในตัวเราให้เห็นอย่างที่เป็นจริง จะช่วยทำให้ร่างกายกลับมาทำงานตามปกติ และรักษาโรคที่เราเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การแพทย์ที่มีผลต่อระดับข้อมูลข่าวสาร ได้แก่ โฮมีโอพาธีย์ ศาสนา Bach Flower Remedies และ Spiritual Healing
ทุกระดับที่กล่าวมาข้างต้นมีความเชื่อมโยงถึงกันหมด เมื่อมีปัยหาเกิดขึ้นในระดับใดก็ตาม สุดท้ายทุกระดับจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหมด เช่น เมื่อได้รับข่าวร้ายเกิดความกังวล สุดท้ายก็ทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้ ส่องกล้องดูก็เห็นแผล เมื่อถูกรถชน เกิดความบาดเจ็บทางกาย สุดท้ายก็กินไม่ได้ ขาดสารอาหาร หงุดหงิด เบื่อหน่ายท้อแท้ได้ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยระดับโครงสร้าง ก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อระดับข้อมูลข่าวสารได้ และในทางกลับกันปัญหาที่เริ่มต้นจากระดับข้อมูลข่าวสารก็ทำให้เกิดปัญหาในระดับโครงสร้างได้ในที่สุด
การรักษาคน หากรักษาในส่วนที่ปัญหาต้นตอนั้นอยู่ จะทำให้เห็นผลได้เร็วที่สุด การใช้การแพทย์หลายๆ ศาสตร์เข้ามาผสมกันให้การรักษาไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะทำให้การรักษาไปเร็วขึ้น โฮมีโอพาธีย์สามารถนำไปใช้ร่วมกับศาสตร์อื่นได้ แต่การรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์ไม่ได้เน้นให้อาการหายไปจากสายตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังพิจารณาถึงลำดับของการหายของโรคต่างๆ ในร่างกายด้วย การใช้ร่วมกับแพทย์ชนิดอื่นๆ จึงต้องเป็นไปในทิศทางของลำดับการหายที่ถูกต้องด้วย โดยอวัยวะที่สำคัญมากจะดีขึ้นก่อนอวัยวะที่สำคัญน้อยกว่า ภาวะจิตใจจะดีขึ้นก่อนที่ภาวะทางกายจะดีขึ้น ปัญหาที่อยู่ส่วนบนของร่างกายจะดีขึ้นก่อน และปัญหาที่อยู่ส่วนล่างจะดีตามมา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นทีหลังจะดีขึ้นก่อนปัญหาที่เกิดมานานกว่า
อ่านมาตั้งนานผู้เขียนยังไม่ได้บอกเลยว่าโฮมีโอพาธีย์เหมาะกับการรักษาโรคอะไรบ้าง ตอบกว้างๆ ก็คือ โฮมีโอพาธีย์ เหมาะกับโรคทุกโรคที่มนุษย์เป็น โดยเฉพาะโรคที่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด โรคที่เป็นผลมาจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายและโฮมีโอพาธีย์ยังสามารถใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพก่อนที่จะป่วยได้ด้วยครับ โฮมีโอพาธีย์ไม่เหมาะกับโรคที่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉิน
รักษาแบบโฮมีโอพาธีย์ทำอย่างไร
โฮมีโอพาธีย์รักษาคนที่เป็นโรค ไม่ได้รักษาโรคที่อยู่ในคน ดังนั้นผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเดียวกันทางการแพทย์แผนปัจจุบันก็อาจได้รับยาโฮมีโอพาธีย์คนละตัวกันได้ เป้าหมายของการรักษาแบบนี้ไม่ได้มุ่งให้อาการที่ผู้ป่วยไม่ต้องการนั้น “หาย” ไปเฉยๆ เพราะการที่อาการหายไปเฉยๆ นั้น อาจจะทำให้สภาวะโดยรวมของผู้ป่วยแย่ลงก็ได้ เป้าหมายของการรักษาคือ ทำให้กาย ใจ จิตวิญญาณของผู้ป่วยดีขึ้น และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมของผู้ป่วยด้วย เช่น ผู้ป่วยมารักษาไมเกรน ได้รับยาไป เมื่อแพทย์นัดติดตามผล ปรากฏว่าอาการปวดหัวไมเกรนดีขึ้นอย่างมาก แต่ผู้ป่วกลับรู้สึกว่าตนเองหงุดหงิดง่าย ใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยเข้าหู ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน กรณีนี้เท่ากับว่าทิศทางการหายไม่ถูกต้องเสียแล้ว แพทย์จึงต้องทำการหายาที่เหมาะกับผู้ป่วยคนนี้มากกว่านี้
การซักประวัติแบบโฮพาธีย์จึงมีรายละเอียดมาก เพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งชีวิต ลำดับการเกิดโรคและพัฒนาการของอาการต่างๆ อะไรที่ทำให้ดีขึ้น อะไรที่ทำให้แย่ลง ข้อมูลที่ต้องการเพื่อมาใช้เลือกยาให้คุณนั้น ได้แก่ อาการทุกอย่างที่คุณตั้งแต่หัวจรดเท้า อาการที่เคยเป็นมาในอดีต ประวัติครอบครัว บุคลิกลักษณะนิสัยของคุณ อะไรที่คุณชอบและไม่ชอบในทุกๆ มิติชีวิตคุณ สิ่งเหล่านี้จะบอกถึงแบบแผนของระบบการทำงานของร่งกาย ลักษระของภูมิคุ้มกันภูมิต้านทานของคุณ
ในการเตรียตัวไปหาหมอโฮมีโอพาธีย์ สิ่งที่คุณควรทำคือ ทำให้หมอโฮมีโอพาธีย์รู้จักคุณให้มากที่สุดในทุกๆ มุม ทุกอาการ ทุกนิสัย ทุกบุคลิก จะทำให้สามารถเลือกยาได้เหมาะกับคุณ หมอโฮมีโอพาธีย์จะทำให้ความรู้จักและเข้าใจกับประวัติของคุณเหมือนว่าไม่เคยเจอผู้ป่วยแบบคุณมาก่อนเลย หลายๆ คำถามอาจจะฟังดูว่าหมอโฮมีโอพาธีย์นี่ช่างสงสัย และเข้าใจเรื่องราวอะไรได้ยากเสียเหลือเกิน แต่นั่นคือกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูลที่ให้ลดอคติในการคิดไปเองของหมอให้มากที่สุดครับ
หมอโฮมีโอพาธีย์จะทำหน้าที่เปรียบเทียบข้อมูลที่ได้มาจากคุณ กับข้อมูลของยาที่ได้รับการพิสูจน์ยามาแล้ว (การนำคนปกติมากินยา แล้วบันทึกอาการผิดปกติที่เกิดจากยานั้น) ข้อมูลของคุณคล้ายกับยาไหนก็จะแนะนำให้คุณใช้ยานั้น เพื่อกระตุ้นร่างกายของคุณให้กลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง เมื่อระบบซ่อมแซมร่างกายกลับมาทำงานตามปกติ อาการต่างๆ ก็จะดีขึ้น ยาแบบโฮมีโอพาธีย์ไม่ใช่ตัวทำงานเหมือนยาแผนปัจจุบันที่เราคุ้นเคย ยาแผนปัจจุบันต้องกินเพื่อให้ยาไปทำงาน ถ้าไม่ได้กินยาแปลว่าไม่มีตัวไปทำงาน ยาแบบโฮมีโอพาธีย์เปรียบเหมือนหนังสือคู่มือให้ร่างกายอ่าน แล้วร่างกายไปซ่อมเองต่อ เมื่อไหร่ที่ซ่อมเป็นแล้ว เสียอีกทีร่างกายก็ซ่อมเองได้ ไม่ต้องกินยาโฮมีโอพาธีย์ตลอดไปครับ
มาถึงตรงนี้ คุณจะเห็นได้ว่าการรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์จะมี 2 เรื่อง ได้แก่ องค์ความรู้โฮมีโอพาธีย์ (classical homeopathy) และเรื่องของผลิตภัณฑ์ การที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ได้แปลว่าคุณกำลังรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์อยู่ ถ้าคุณหายาโฮมีโอพาธีย์ที่ใช้แก้ปวดประจำเดือนมาใช้ ยาโฮมีโอพาธีย์สำหรับลดไข้ ยาโฮมีพาธีย์สำหรับปวดหัวไมเกรนมากิน ผมอยากจะบอกว่าคุณไม่ได้กำลังรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์อยู่ครับ คุณเพียงแต่หาผลิตภัณฑ์มาใช้เท่านั้น ผลที่หาผลิตภัณฑ์มาใช้เฉยๆ ไม่สามารถทำนายหรือรับประกันได้ว่าคุณจะดีขึ้น ผลที่ดีที่สุดคือไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของอาการเลย ส่วนผลที่แย่ที่สุดคืออาการที่เป็นปัญหาของคุณหายไป แล้วมีอาการอื่นที่แย่กว่าเดิมปรากฏขึ้นในตัวของคุณแทน
หากใครอยากรู้ว่าโฮมีโอพาธีย์เป็นอย่างไรชัดๆ หรืออยากหาข้อโต้แย้งว่าโฮมีพาธีย์เป็นเรื่องลวงโลกผมแนะนำให้อ่านหนังสือที่ชื่อ Organon of Medical Art โดย Samuel Hahnemann ก่อนที่จะตัดสินใจใดๆ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คนจะทำโฮมีโอพาธีย์บนโลกใบนี้ทุกคนรู้จักและต้องเคยได้อ่าน (ถ้าหมอที่จะให้ยาแบบโฮมีโอพาธีย์กับคุณไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ คุณต้องคิดหนักหน่อยนะครับ) ตำราเล่มนี้เขียนมามีอายุ 200 ปีแล้ว และยังไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนข้อความที่ปรากฏในหนังสือเลย
นพ.กฤษฏา พันธุ์เพ็ง
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์
(Some images used under license from Shutterstock.com.)