© 2017 Copyright - Haijai.com
ปล่อยให้เด็กเป็นเด็กเถอะ
ในยุคสมัยใหม่ที่อะไรๆ ก็ดูเหมือนเร่งรีบทั้งการตื่น การกิน การทำงาน การนอน ชีวิตประจำวันของเราทั้งหมดก็ล้วนแต่รีบเร่งทั้งนั้น ซึ่งก็รวมถึงความเร่งรีบต่อลูกๆ ของเราด้วย ความเร่งรีบของเด็กที่ผมจะขอพูดถึงก็คือ เรื่องของการยัดเหยียดความเร่งรีบที่จะโตเข้าไปให้กับเด็กนั่นเอง หากเราดูเด็กสมัยนี้จริงๆ แล้วเติบโตกันเร็วมากไม่เพียงแค่ร่างกาย แต่วันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องของการเติบโตทางด้านอารมณ์ และสังคม เด็ก 12 ขวบคนหนึ่งสามารถทำอาหารเช้าทานเองได้ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ แน่นอนทุกคนที่ฟังเรื่องนี้ต้องทึ่งและชื่นชมในความสามารถและความขยันของเด็กน้อยคนนี้ แต่จะมีใครที่รู้บ้างว่าตัวเขาเองที่เป็นคนบอกว่า “ผมหวังว่าพ่อหรือแม่จะทำให้ผมกินสักครั้ง” ผมเชื่อว่าเด็กหลายๆ คนโหยหาความเป็นเด็ก ความรัก การเลี้ยงดู การเอาใจใส่ และเวลาจากพ่อแม่เป็นปกติธรรมดาและธรรมชาติของเขา
ประเด็นหลักของผมอยู่ที่เรื่องทัศนคติหรืออาจเรียกว่าค่านิยมสมัยนี้ที่ดูเหมือนพ่อแม่ยุคใหม่มักตั้งเงื่อนไข และวางแผนกับลูกตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วครับ เช่น จะส่งเรียนเปียโนตอน 3 ขวบ หรือเริ่มเรียนภาษาจีนตอนอายุเท่านั้นหรือเท่านี้ ถัดมาหน่อยก็มีเด็กเรียนไว อ่านไว เขียนไว หรือแม้แต่การประกวดความสวยงามที่ดูเหมือนจะไวเกินไปหน่อย เห็นการประกวดสมัยนี้แล้วต้องเชื่อจริงๆ ครับว่าเด็กเหล่านี้มีความสามารถเก่งกาจมากมาย ในประเทศอเมริกามีเด็ก 4 ขวบคนหนึ่งเคยผ่านเวทีประกวดความงามมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 เวที และในฐานะพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่าสื่อต่างๆ ทั้งทีวี นิตยสาร ได้เข้ามามีบทบาทและส่งเสริมในเรื่องความสามารถของเด็กกันอย่างคับคั่ง ดูแค่กลุ่มตัวอย่างเด็ก 4-9 ขวบ ก็มีเครื่องสำอางสำหรับเด็กกลุ่มนี้ออกมาวางจำหน่ายกันแล้ว ทั้งลิปสติก อายไลเนอร์ ที่ปัดแก้ม เด็กหลายๆ คนไม่ออกจากบ้านหากไม่ได้ทาเมคอัพพวกนี้ ในโฆษณาหลายๆ แห่งก็มีการวางพรีเซนเตอร์เป็นเด็กที่แต่งตัวทันสมัยทำผมสไตล์เกาหลียืนโพสท่ากันอย่างชำนาญ แต่ความเข้าใจที่ถูกก็คือ เด็กเหล่านี้ยังคงต้องการดินสอสี พู่กัน ตำราเรียนเช่นเดียวกับการแต่งตัวโก้เก๋ นั่นคือจุดยืนที่เหมาะสมและสวยงามที่แท้จริงของกลุ่มเด็กอายุเท่านี้ หลายท่านอาจตั้งข้อแย้งว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะถ้าหากเด็กจะโชว์ความฉลาดหรือความกล้าก็ควรจะส่งเสริม เรื่องนี้ผมไม่ปฏิเสธครับจะติดก็อยู่ตรงที่ว่าผู้ใหญ่สมัยนี้มักชื่นชมยินดีกับความฉลาด (เกินวัย) ของเด็กมากจนเกินไปและลืมนึกถึงพัฒนาการทางอารมณ์ และพัฒนาการทางสังคมของเขาครับ
ถามคุณพ่อคุณแม่จริงๆ เถอะครับว่า คุณต้องการอะไรที่แท้จริงจากเด็ก 4 ขวบ คุณตั้งเป้าให้เขามีมารยาทบนโต๊ะอาหารเหมือนผู้ใหญ่ทุกคนหรือคุณเห็นว่าการที่เขานั่งไม่อยู่นิ่งต้องคอยป้อนอาหารตลอดเป็นเรื่องที่ลึกๆ แล้วคุณก็คาดหวังไว้และรับมือกับมันได้ คุณตั้งใจให้เขามีพัฒนาการและความสามารถรอบด้าน แต่ก็ลืมถามความคิดเห็นของเขาก่อนสมัครเรียนพิเศษและไม่ได้นึกถึงการที่เขาไม่ได้เล่นกับเพื่อนต่อหลังเลิกเรียนจะคิดก็เพียงว่าลูกเราต้องมีความสามารถที่เหนือกว่าคนอื่น โดยเฉพาะในสังคมที่มีแต่การแข่งขันแบบนี้
ดูเหมือนว่าเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้นจะชนะใจคนรอบข้าง แต่ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองมองให้ลึกลงไปอีกนิดครับว่าความสามารถอย่างเดียวไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าลูกคุณจะประสบความสำเร็จในวัยเด็ก ผมอยากให้ดูไปถึงเรื่องอารมณ์และความรู้สึกของเขาด้วยครับ หากลูกคุณมีความสามารถเป็นเรื่องน่ายินดีครับแต่ขอให้ดูแลเรื่องอารมณ์และสังคมควบคู่ไปด้วย คุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่คิดว่าลูกเราไม่เก่งเหมือนคนอื่นอย่าได้แคร์ครับ เพราะความสามารถหรือความฉลาด (เกินวัย) ไม่สามารถเอาไม้บรรทัดมาวัดได้ครับว่าลูกคุณนั้นแย่กว่าเด็กคนอื่น อย่ามองว่าคนรอบข้างจะคิดยังไง เพราะหากเรายึดติดแค่ว่าคนรอบข้างจะคิดอะไรชีวิตเราก็จะไม่มีความสุข ยิ่งไปกว่านั้นเราจะเอาความกดดันไปอยู่ที่ลูกโดยไม่รู้ตัว เชื่อเถอะครับความฉลาด (เกินวัย) ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าใส่ใจมากเท่าการที่เราควรรู้จักบริหารพัฒนาการทางอารมณ์ และพัฒนาการทางสังคมของเขาครับ
ถามใจตัวเองครับว่าจริงๆ แล้วคุณมีความสุขกับสิ่งใดมีความสุขที่เห็นเขาปีนป่ายต้นไม้บ้าง เลอะเทอะบ้าง มอมแมมบ้าง คุณอยากจะเห็นรอยยิ้มจากเด็ก 4 ขวบหรือจากเด็ก 14 ขวบครับ อย่าเพิ่งรีบให้เขาโตเกินไปเลยครับอย่าข้ามช่วงเวลาที่มีความหมายนี้ไปเลย แต่มีความสุขกับช่วงเวลาเด็กของเขาเฝ้าดูเขาเติบโตทั้งร่างกาย อารมณ์ และสังคมอย่างสมวัย เชื่อเถอะครับวันที่เขาเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว คุณอาจจะมานั่งเสียดาย และคิดถึงช่วงเวลาที่เขามาพะเน้าพะนอ ออดอ้อนหรือกอดรัดฟัดเหวี่ยงคุณโดยไม่แคร์สายตาใคร แล้ววันนั้นจะมาถึงในไม่ช้าครับ
อาจารย์ปรมิตร ศรีกุเรชา
(Some images used under license from Shutterstock.com.)