
© 2017 Copyright - Haijai.com
4 Best Vitamins for Beautiful Skin
4 วิตามินบำรุงผิวที่สาวๆ ไม่ควรพลาด
ในปัจจุบันกระแสนิยมการทานวิตามินเสริม เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักสวยรักงาม อยากมีสุขภาพผิวขาว สวยใส ส่งผลให้วิตามินในกลุ่มความงามได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยมีการแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินความงามมากมายไปหมด ถูกบ้างผิดบ้างในโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ค แต่คุณรู้หรือไม่ว่าวิตามินด้านความสวยความงามที่ได้รับการยอมรับ และมีผลวิจัยรับรองด้านความปลอดภัยมี อะไรบ้าง
4 วิตามินความงามที่เป็นยอมรับ
1.Vitamin C
วิตามินซี เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ โดยที่ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินชนิดนี้จากการรับประทาน โดยมากวิตามินซี จะอยู่ในกลุ่มของอาหารประเภทผักและผลไม้ชนิดต่างๆ แต่ทั้งนี้ในบางรายที่ไม่นิยมการรับประทานผักและผลไม้ จึงอาจจะต้องทานวิตามินเสริม ในด้านของสุขภาพวิตามินซีประโยชน์มากมาย อาทิ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เราไม่ป่วยหรือเป็นหวัดได้ง่ายๆ เพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คอเลสเตอรอล ในร่างกาย ส่วนในด้านของความสวยความงาม วิตามินซีก็มีประโยชน์ช่วยให้สาวๆ สวย สดใส ได้เช่นกัน โดยวิตามินซี จะเป็นตัวกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิวพรรณเสริมสร้างคอลลาเจนและต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าวิตามินซีจะสามารถทำให้ผิวพรรณของเราเหล่าสาวๆ สวยขึ้นสุขภาพดีดูเรียบเนียน จุดด่างดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น สาวคนไหนไม่อยากมีผิวเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรละก็ วิตามินซีจึงเป็นตัวช่วยอันดับ 1 ที่สาวๆ ไม่ควรพลาด
วิตามินซีมีดีต่อผิวอย่างไร
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความแก่และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัยเป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างไว้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ช่วยให้ผิวพรรแต่งตึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนของเซลล์วิตามินซี จากแหล่งธรรมชาติพบมากในส้ม สับปะรด มะขาม สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะเขือเทศ
ปริมาณการรับประทานที่เหมาะสม
ไม่ควรทานเกิน 2,000 มิลลิกรั ต่อวัน หรือมากจนเกิดอาการถ่ายเหลว นั้นแสดงว่าปริมาณการได้รับวิตามินซี มีจำนวนมากเกินไปหรือดูข้างขวดผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งจะกำกับปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมจาก อย. และควรดื่มน้ำตามมากๆ ทั้งนี้วิตามินซีสามารถรับประทานได้ในทุกเพศทุกวัย
2.Vitamin E
วิตามิน อี (Vitamin E) หรือ Tocopherol เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้จำเป็นจะต้องได้รับจากการรับประทาน เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน มีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของวิตามินอี คือ เป็นตัวแอนตีออกซิแดนท์ (Antioxidant) และยังเป็นตัวช่วยระบบกล้ามเนื้อและการทำงานของตับ ถือได้ว่าวิตามินอี มีส่วนช่วยบำรุงตับ ซึ่งตับต้องทำหน้าท่เกี่ยวกับเลือดมากมาย วิตามินอี จึงเป็นตัวช่วยสำคัญ ในการทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดของตับด้วย
ทั้งนี้วิตามินอี ยังมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดความเสียหายในเซลล์และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของริ้วรอยที่ดูแก่ก่อนวัย โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่า การได้รับวิตามินอีที่เหมาะสมจะช่วยป้องกัน และซ่อมแซมการสึกหรอของเส้นผม ผิว และเล็บได้ และยังช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพาของผิวช่วยชะลอความแก่ นอกจากนี้ยังจะช่วยบำรุงผิวพรรให้สดใสยังส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่น ชุมชื่น จึงนับว่าเป็นอาหารผิวที่สาวๆ ขาดไม่ได้เลย
วิตามินอี มีดีต่อผิวอย่างไร
ช่วยในการบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ลดการเกิดริ้วรอย ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว สมานแผล ลดการอักเสบของสิว บำรุงเล็บ บำรุงผม เสริมการทำงานของฮอร์โมนเพศให้สมดุล เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินอีจากแหล่งธรรมชาติ
พบใน ถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ ผักใบเขียว ข้าวซ้อมมือ เมล็ดทานตะวัน ถั่วเหลือง งา เป็นต้น
ปริมาณการรับประทานที่เหมาะสม
วิตามินอีมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของเราก็จริง แต่ถ้าร่างกายมีวิตามินอีสูงมาก ก็อาจขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอ ขนาดรับประทนในแต่ละวันที่แนะนำ คือ 400 IU และไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 3 เดือน เพราะวิตามินตัวนี้จะสะสมที่ไขมันได้และมีผลเสียต่อตับได้
3.ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
ฟลาโวนอยด์ ถือว่าเป็นวิตามินที่มีโรงสร้างโมเลกุลเหมือนกับฮอร์โมนเพศหญิง หรือเอสโตรเจน จึงเป็นตัวช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นความเต่งตึงของผิวพรรณ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด ช่วยให้เม็ดเลือดไม่จับตัวเป็นก้อนจนอุดตัน ป้องกันการเกิดมะเร็ง เป็นสารต้านจุลินทรีย์ นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอาการแพ้ ต้านไวรัส ต้านการอักเสบ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดคือ คุณสมบัติในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ โดยสารฟลาโวนอยด์ มีความสามารถในการลดการเกิดอนุมูลอิสระ หรือหากเกิดมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นแล้ว ฟลาโวนอยด์ก็สามารถกำจัดได้ ทั้งนี้ มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าฟลาโวนอยด์บางชนิดมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเหนือกว่าวิตามินซี
แหล่งของอาหารที่พบฟลาโวนอยด์มาก ได้แก่ พืช ผักและผลไม้ เช่น ยอ ถั่วเหลือง กระชายดำ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น รวมทั้งเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ชา และไวน์ เป็นต้น
ฟลาโวนอยด์ มีดีต่อผิวอย่างไร
ช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้น ความเต่งตึงของผิวพรรณต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง ฟลาโวนอยด์ จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง จากการศึกษาวิจัยพบว่าสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและเส้นเลือดภายในเนื้องอกได้อีกด้วย
4.แอสต้าแซนทิน (Astaxanthin)
แอสต้าแซนทิน เป็นสารอาหารที่โด่งดังด้วยมีผลวิจัยทางการแพทย์มากมายในการช่วยเรื่องของการลดริ้วรอย แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก โดยคุณสมบัติของวิตามินตัวนี้ จะสามารถปกป้องผิวจากการถูกทำลายทั้งจากอนุมูลอิสระ มลพิษ ควันบุหรี่ โดยสามารถปกป้องไปจน DNA ของผิว เนื่องด้วยสูตรโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณะของ แอสตาแซนธิน นี้จึงมีประโยชน์ต่อร่างกาย ในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่งกายได้ครอบคลุม
แอสต้าแซนทิน มีดีต่อผิวอย่างไร
เป็นตัวช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย โดยแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย ปรับสมดุลความดันโลหิต และการเต้นของหัวใจ รวมถึงทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีสุขภาพดีขึ้นช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้น ปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ
“แม้ว่าในท้องตลาด และแหล่งข้อมูลข่าวสารในโลกของ Internet จะพูดถึงวิตามิน เพื่อความงามของผิวพรรณอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน กลูต้า ไธโอน Grape seed Evening Primrose แต่ยังไม่มีผลการวิจัยที่ออกมายอมรับแน่นอน ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเลือกหาวิตามินเสริมเหล่านี้มารับประทาน ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงซื้อหาวิตามินเหล่านี้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน จึงจะปลอดภัยที่สุด
ทั้งนี้วิตามินที่เกี่ยวข้องกับความสวยความงาม ที่กล่าวมา เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจไว้ด้วยว่าวิตามินเป็นส่วนหนึ่งของสารอาหาร และเป็นสารอินทรีย์ที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์วิตามินขึ้นได้เองทั้งหมด เราจึงต้องได้รับวิตามิน ผ่านอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งถ้าเราเป็นคนที่รับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ หรือได้รับวิตามินจากแหล่งธรรมชาติอย่างเหมาะสมแล้วละก็ เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิตามินเสริมเท่าไรนัก นอกเสียจากคุณพิจารณาแล้วว่าวิถีการรับประทานอาหารของคุณไม่เหมาะสม เช่น รับประทานผักและผลไม้น้อย สารสกัดจากสิ่งมีชีวิต อย่างวิตามินเสริมก็เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ดีขึ้น ทั้งนี้ควรควบคู่กับการออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ ที่สำคัญคือการดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะผิวพรรณเราจะสวย ใส ชุ่มชื่นได้ ปริมาณการดื่มน้ำในแต่ละวัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน”
พญ.ลักขณา ถาวโรจน์
ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ
สถานบันการแทพย์ผสมผสานตรัยยา
(Some images used under license from Shutterstock.com.)