
© 2017 Copyright - Haijai.com
กำจัดส่วนเกิน “สลายไขมันด้วยยา” ไขมันส่วนเกิน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ คนทั่วโลกไม่เฉพาะแต่คนไทยมักมีอาการป่วยด้วยโรค “เมตาบอลิกซินโดรม” อาการของโรคนี้ สังเกตได้ง่ายมาก จาก พุงพลุ้ย ดีกรีความอ้วนเริ่มลงพุง ทั้งนี้เราจะเห็นลักษณะอาการของโรคนี้ได้บ่อยขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก รูปแบบ และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนนิยมรับประทานอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด อาหารปิ้งย่าง อาหารมัน อาหารทอด อาหารรสหวาน มัน เค็มมาก จนเกินไป ซ้ำยังขาดการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย ทำให้กระบวนการเผาผลาญอาหารไม่ดีพอ มีการสะสมไขมันโดยเฉพาะไขมันช่องท้อง ซึ่งจะนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น
เรียกว่าเมื่อพูดถึงปัญหาไขมันส่วนเกิน ไม่ว่าจะกี่สิบปี ปัญหานี้ยังคงเป็นปัญหาโลกแตกที่สวนทางกับความต้องการด้านความสวยความงามของสาวๆ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ฝันอยากมีหุ้นเปรี้ยวเป๊ะ แบบฉบับไอดอลสาวเกาหลี แต่เมื่อหันกลับมาเห็นรูปร่างตัวเองที่ทั้งสะโพก ต้นแขน ต้นขา ใหญ่โต อัดแน่นด้วยไขมันส่วนเกิน จนยากที่จะกำจัด แม้ว่ามีสาวๆ หลายๆ คนตั้งใจมากทั้งอดอาหาร ออกกำลัง แต่สุดท้ายเจ้าไขมันส่วนเกินเหล่านี้ก็ไม่มีวี่แววที่จะสลายหายไปเสียที แต่กลายเป็นว่า ความมั่นใจในตัวเองจากการหยิบเสื้อผ้าสวยๆ ขึ้นมาใส่ หายไปแทน
ต้นเหตุของไขมันส่วนเกิน
1.พันธุกรรม สาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ “พันธุกรรม” จากการวิจัยพบว่าคนอ้วนจะมียีนความอ้วนมากกว่าคนไม่อ้วน ดังนั้น จึงสามารถถ่ายทอดยีนดังกล่าวสู่พันธุกรรมได้
2.ประสิทธิภาพของการเผาผลาญของร่างกาย ในเมื่อร่างกายของเรามีเซลล์ไขมันมาก เราก็ต้องพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญให้ร่างกาย พูดง่ายๆ คือ ออกกำลังกายบ่อยๆ เพราะมันจะช่วยให้ระบบเผาผลาญกลับมาดีขึ้น
3.ความเครียด เมื่อเรามีความเครียดก็จะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะกดดัน จะทำให้หลั่งสารต่างๆ เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรต ยิ่งเครียดยิ่งกินนั้นเอง
4.การพักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลวิจัยว่าไว้ ว่าคนที่นอน 7-8 ซม. ต่อวันจะทำให้รู้สึกอิ่มได้ไวกว่าคนที่นอนไม่พอ หากนอนน้อย ก็จะหิวง่าย
5.พฤติกรรม เช่นการนั่งนานๆ โดยเฉพาะสาวออฟฟิสที่นั่งทำงาน โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบทเลย จะส่งผลให้เกิดเซลลูไลท์ในบริเวณต้นขาได้
เมื่อรู้ต้นเหตุของไขมันส่วนเกินไปแล้ว ต่อมาคือวิธีกำจัด ปัจจุบันมีวิธีกำจัดไขมันออกมานำเสนอมากมาย ทั้งเทคนิคใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่พัฒนาออกมาชนิดที่ว่าตามแทบไม่ทัน แต่วิธีการหนึ่งที่ได้รับความนิยม ทั้งในและต่างประเทศคือการใช้ตัวยาเข้าไปสลายไขมันส่วนเกินในบริเวณที่เราต้องการให้มันสลายหายไป
Fat Burn สลายไขมันด้วยตัวยา
วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกินเป็นวิธีหนึ่ง ซึ่งที่แพทย์จะใช้ตัวยาที่มีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยา เหล่านี้ Phosphatidylcholine, Deoxycholate, L-carnitine, Vitamin B complex, Amino acids, Minerals รวมทั้งตัวยาสลายไขมันเข้มข้นจากฝรั่งเศส ที่จะช่วยเพิ่มสรรพคณในการสลายไขมันได้ดียิ่งขึ้นกว่าตัวยาปกติ โดยผลักตัวยาเหล่านี้เข้าไปยังชั้นไขมัน เมื่อตัวยาเหล่านี้เข้าไปยัง ผนังไขมัน (Fat cell wall) ไขมันส่วนเกินเหล่านั้นก็จะแตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว (Lipid Fat) แล้วถูกขับทิ้งออกทางระบบน้ำเหลือง
หลักการของตัวยาในการเข้าไปสลายไขมัน คือ จะเพิ่มปฏิกิริยาเร่งการเผาผลาญสลายเซลลูไลท์ เฉพาะจุดหรือตำแหน่งที่ผลักตัวยาเหล่านี้เข้าไปนั้นเอง
สำหรับวิธีการผลักตัวยาที่ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยมากที่สุด คือ การพลักตัวยาด้วยการ ทรีทเม้นท์ นวดกระชับด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ ถือกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศสใน ปี 1950 ซึ่งเป็นเทคนิคในทางการแพทย์ใช้ในเรื่องของการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อลดปวดโดยการฉีด แต่ถัดมา 2-3 ปี ก็ได้มีการนำวิธีการนี้มาใช้ในทาง cosmetic เพื่อสลายไขมัน ซึ่งจะเห็นผลหรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลด้วย ที่สำคัญ คือ ตัวยาที่ใช้มีความปลอดภัยและตรงตามจุดประสงค์หรือไม่นั่นเอง ตัวยาที่ใช้ในการสลายไขมัน ที่ได้รับความนิยม ได้แก่
1.Phosphatidylcholine
เป็นเอนไซม์ที่พบตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์เรา ทำหน้าที่สลายไขมันเผาผลาญไขมันที่สะสมใต้ผิวหนัง เร่งการนำไขมันไปใช้ในเซลล์ให้ขับออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ โดยสัดส่วนจะลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อได้รับในปริมาณที่สูงพล และตรงจุด และป้องกันการกลับมาสะสมใหม่เนื่องจากฤทธิ์ที่ทำให้เซลล์ไขมัน (adipose cell) ลดขนาดเล็กลงหรือฝ่อหายไปในที่สุด
2.L-Carnitine
เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ ทำหน้าที่ช่วยลำเลียงโมเลกุลไขมันเล็กๆ เข้าไปใช้ในเซลล์ต่างๆ ทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดังนั้นหากร่างกายขาดสาร L-Carnitine หรือมีไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวนำพาเม็ดไขมันไปเผาผลาญแล้วละก็ ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากไขมันสะสมก็จะเป็นเรื่องตามมา
ทั้งนี้ L-Carnitine มีบทบาทในการลดน้ำหนักและลดไขมันสะสม ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบที่ดีของคุณๆ ที่ต้องการจะลดน้ำหนักด้วยสารธรรมชาติ เนื่องจากมีการทดลองนำเอาเซลล์ไขมัน (Adipose Tissue) ของคนอ้วนมาวิเคราะห์พบว่าในเนื้อเยื่อดังกล่าวแทบจะไม่มี L-Carnitine อยู่เหลือเลย ดังนั้น จากความสัมพันธ์นี้เอง ทีมนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า กลไกการลำเลียงไขมันเพื่อนำไปใช้หากถูกขัดขวางด้วยวิธีใดก็ตาม ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันได้ แต่หากให้สาร Carnitine เพิ่มเข้าไปก็จะส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของไขมันส่วนเกินมากขึ้นนั่นเอง
3.Amino acids
มีสรรพคุณในการช่วยย่อย เผาผลาญไขมัน และสลายไขมันเก่าและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Growth Hormone ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสลายไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงกว่าในการผลักตัวยาเหล่านี้เข้าไปสลายไขมัน ควรทำควบคู่ไปกับการกระตุ้นเซลล์ให้เข้าไปสู่ผิวได้ลึกลง ในระดับชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน และยังฟื้นฟูสภาพผิวได้ ด้วยการทำ RF (Radio Frequency) โดยการส่งคลื่นความถั่วิทยุเข้าไปกระตุ้นเซลล์และสลายเซลลูไลท์โดยสะสมพลังงานความร้อนที่ชั้นใต้ผิวหนังทั้งชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน เพิ่มการเผาผลาญของไขมัน ทำให้มีการขับน้ำไขมันออกจากเซลล์ไขมันและถูกกำจัดทางระบบน้ำเหลือง และหลังจากนั้นเซลล์ไขมันจะหดตัวเล็กลงทำให้สัดส่วนที่ต้องการกำจัดดูบางขึ้น ส่วนพลังความร้อนที่ชั้นหนังแท้จะกระตุ้นให้ไฟโบรบลาสต์ผลิตคอลาเจนเพิ่มขึ้นเกิดการสร้างและเรียงตัวใหม่ของคอลาเจนใต้ผิว เป็นผลให้โครงสร้างของผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นดีขึ้น ความหย่อนคล้อยลดลง ผิวกายเนียนกระชับเห็นผลที่ดีขึ้นนั้นเอง
แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นที่นิยม แต่ก็ใช่ว่าทุคนจะทำได้ ยังมีข้อห้ามโดยเฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัว หรือในรายที่มีอาการแพ้ โดยเฉพาะคนที่แพ้ถั่ว เพราะ ตัวยา Phosphatidylcholine เป็นสารสำคัญที่ได้จากถั่วนั้นเอง
ข้อห้าม
1.สตรีมีครรภ์
2.คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
3.คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
4.คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
5.คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน
ข้อควรปฏิบัติหลังทำ
1.ควรดื่น้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายไปจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยขับไขมันส่วนเกินที่สลายให้ออกจากร่างกายได้มากขึ้น
2.อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ 1-3 วัน ดังนั้น ควรเลี่ยงการ การเข้าอบซาวน่า การนวด การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการทำทรีทเม้นต์ใดๆ หลังทำประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
3.ควรออกกำลังกายเบาๆ หลังทำ เช่น การเดินเร็ว โยคะ หรือแอโรบิคอย่างน้อยวันละ 30-45 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับและรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ลดการสะสมของไขมันใหม่
4.เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน มิให้กลับมาสะสมได้อีก
ทั้งเมื่อพูดถึงความนิยมในการกำจัดไขมันส่วนเกินที่สาวๆ ต้องการให้ออกไปจากชีวิตมากที่สุดจากการสำรวจมีดังนี้
เช็คบริเวณไขมันส่วนเกิน ที่สาวๆ นิยมอยากลดมากที่สุด
1.ลดไขมันที่แก้มให้หน้าเรียวเล็ก
2.ลดไขมันที่คาง (เหนียง)
3.ลดไขมันต้นแขน ต้นขา
4.ลดไขมันที่พุง หน้าท้อง
5.ลดไขมันที่จมูก (บาน) ทำให้เล็กลง
6.ลดไขมันที่หนังตาบนหย่อนคล้อย
7.ลดไขมันที่น่อง
รู้หรือไม่
จากข้อมูลจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่า ทุกวันนี้ มีการนำ ยาลดไขมัน เป็นยาที่แพทย์สั่งให้ผู้ป่วยโรคไขมันในเส้นเลือดสูงนำมารับประทาน เพื่อหวังจะลดความอ้วนด้วย ซึ่งแน่นอนไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ และยังเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะยาลดไขมันนี้จะใช้กับผู้ป่วยที่มีไขมันเส้นเลือดสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจหลอดเลือดสมองเท่านั้น การทานยาลดไขมันนั้น จะมีผลข้งเคียงเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ ท้องผูก ท้องเสีย มึนงง ปวดหัว จุกเสียดแน่นท้อง เป็นต้น และอาจมีผลต่อระบบกล้ามเนื้อได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ อย่างไรก็ตาม ยาชนิดนี้ต้องใช้ในความควบคุมของแพทย์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจเกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคที่เกี่ยวกับระบบตับ หากทานยาลดไขมันเข้าไปอาจกระทบต่อโรคที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ควรนำยาลดไขมันมาใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ และอย่าหลงเชื่อโฆษณาลักษณะนี้ เพราะการขายยาลดไขมัน และการโฆษณาเช่นนี้ถือว่าผิดกฎหมาย เนื่องจากยาจะต้องขายในร้านขายยาหรือสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีการนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย
“สาเหตุหลักของการเกิดไขมันส่วนเกิน ก็มาจากการรับประทานอาหารที่เกินพอดี โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลลอรี่สูงๆ เช่น กลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน ฯลฯ โดยไม่ได้สัดส่วนกับการเผาผลาญไขมัน เช่น จากการออกกำลังกาย และเมื่อระยะเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไขมันส่วนเกิน ก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ไขมันก็จะอ้วนพองใหญ่และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูปร่างขยายหรือใหญ่ขึ้นเฉพาะบางส่วนได้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีวิธีการกำจัดเซลลูไลท์อยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้ง การดูดไขมัน (liposuction) การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่จะช่วยในการเพิ่มการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น และทำให้ไขมันบริเวณใต้ผิวหนังสลายตัวมากขึ้น แต่ทั้งนี้วิธีที่ดีที่สุดคือ วิธีตามธรรมชาติ ได้แก่ การควบคุมอาหารที่รับประทาน ด้วยการจำกัดปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน โดยไม่ควรรับประทานอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล หรือไขมันปริมาณที่มากเกินไป และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยพบว่าคนที่มีน้ำหนักตัวลดลงผิวหนังที่เห็นเป็นเซลลูไลท์ก็จะลดน้อยลงไปด้วย”
นพ.มาวิน วัฒนแพทย์
เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ
(Some images used under license from Shutterstock.com.)