© 2017 Copyright - Haijai.com
หลากหลายวิธี การแก้ไขโครงหน้า ตอนที่ 2 (Facial Contouring part 2)
ในตอนก่อน หลากหลายวิธี การแก้ไขโครงหน้า ตอนที่ 1 V shape พูดถึงคำจัดกัดความของการแก้ไขโรงหน้า หรือ Facial Contouring และแนวทางการแก้ไขคร่าวๆ ตอนนี้จะลงรายละเอียดกันครับว่า แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และเหมาะสมกับใคร ทั้งนี้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิชา จะทำให้เราสามารถเลือกแนวทางการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับคนไข้ หรือให้กับตัวเราเองได้
การปรับโครงหน้าด้วยการผ่าตัด (Invasive Facial Contouring หรือ Surgical Facial Contouring)
เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบายผมจะแบ่งการรักษาแบบนี้เป็น 2 แนวทาง คือ แบบที่มีการแก้ไขโครงกระดูก กับ ไม่มีการแก้ไขโครงกระดูก
1.การปรับโครงหน้าด้วยการผ่าตัด ชนิดที่มีการปรับแก้โครงกระดูกร่วมจากกระแสศัลยกรรมเกาหลี ที่เราเห็นภาพ before-after จากไม่หล่อไม่สวยกลายเป็นหล่อ สวย เหมือนคนละคน ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าการรักษาผ่าตัดเปลี่ยนโครงหน้าทำได้โดยการตัดกระดูกกราม หรือเหลากระดูกโหนกแก้มออกเท่านั้น อันที่จริงขั้นตอนการผ่าตัดปรับโครงกระดูกหน้านั้น ทำได้ทั้งตัดออก หรือเติมเข้าไป ทั้งนี้ในเคสที่เราเห็นส่วนมากเป็นคนหุน่มสาวที่มีโครงกระดูกผิดรูป ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงเป็นการผ่าตัดเพื่อตัด หรือเหลาเอาส่วนเกินออก หรือบางกรณีเช่นขากรรไกรล่าง ก็ตัดแล้วเลื่อนไปข้างหน้า (ยึดคาง) หรือเลื่อนถอยหลัง (แก้ค้างยื่น) ที่เรียกว่า sliding genioplasty
สำหรับในกรณีคนไข้อายุมากส่วนใหญ่จะมีปัญหเรื่องการยุบตัวของกระดูกและเนื้อเยื่ออ่อนร่วมกัน การรักษาจึงเน้นไปที่การแก้การยุบตัว โดยการผ่าตัดเสริมกระดูกมากกว่า โดยการผ่าตัดที่เรียกว่า Alloplastic Facial Contouring โดยการใช้วัสดุสังเคราะห์ เช่น แผ่นยางซิลิโคน (Silicone rubber implants) ฝังยึดลงไปบนกระดูก เพื่อช่วยเพิ่มปริมาตรกระดูก และเนื้อเยื่ออ่อนส่วนนั้น และยังช่วยปรับรูปร่างกระดูกบริเวณนั้นๆ ด้วย ตัวอย่างการรักษาเพื่อเสริมปริมาตร และปรับรูปกระดูก เช่น ใต้ตา เหนือแนวฟันบน โหนกแก้ม คาง แนวกรามล่าง เป็นต้น
ทั้งนี้สำหรับคนไข้บางราย การผ่าตัดปรับกระดูกอาจจะต้องมีทั้งตัดออกเพื่อลดบางตำแหน่ง และเสริมเพิ่มบางตำแหน่งไปพร้อมๆ กันก็ได้ และที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะคนไข้ที่เริ่มมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มมีการยุบตัวของเนื้อเยื่ออ่อน โดยเฉพาะชั้นไขมัน อาจจำเป็นต้องมีการเติมเต็มส่วนนี้ไปด้วย ซึ่งทำได้โดยการฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ลงไป ทั้งนี้ เพื่อทำให้รูปหน้าโครงรวมสัมพันธ์กับโครงกระดูกหน้านั่นเอง
2.การปรับโครงหน้าด้วยการผ่าตัด ชนิดที่ไม่มีการปรับแก้โครงกระดูกร่วม ส่วนใหญ่ใช้การผ่าตัดดึหน้า (Face Lift) ร่วมกับการฉีดเติมไขมัน โดยคนไข้กลุ่มนี้จะมีสภาพหย่อนคล้อยมากกว่าการขาดปริมาตรของเนื้ออ่อน (Volume Loss) และมีโครงหน้าเดิมสมบูรณ์ดีนั่นเอง
การปรับโครงหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Facial Contouring หรือ Non-Surgical Facial Contouring)
กรณีที่คนไข้ไม่สามารถหยุดพักได้นานๆ และไม่ต้องการผ่าตัดการรักษาทางเลือกอีกวิธี คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งทำได้โดยการร้อยไหมร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์ ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์เราแบ่งเป็น 2 วัตดุประสงค์ คือ เพื่อเติมเต็มส่วนของใบหน้าที่มีการขาดปริมาตรของเนื้ออ่อน (Volume Loss) และเพื่อการปรับแต่งรูปโครงหน้าหรือโครงกระดูกด้วยเทคนิคฟิลเลอร์สัมผัสกระดูก ทั้งนี้ การรักษาอาจต้องกระทำหลายครั้ง จนกว่าจะได้รูปหน้าตามต้องการ และไม่อาจใช้รักษากรณีคนไข้ที่มีรูปโครงกระดูกผิดปกติมาก หรือมีสภาพการหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อมาก ซึ่งจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดร่วม อันที่จริง คนไข้ที่เป็นคนไทยที่อายุไม่เกิน 60 ปี ส่วนใหญ่สามารถใช้วิธีการนี้ในการรักษาอย่างได้ผลดี โดยแทบไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดเลย เพราะลักษณะรูปโครงกระดูกที่ผิดปกติมาก ไม่ค่อยพบในคนไทยนั่นเอง
บทสรุป
การรักษาเพื่อปรับรูปหน้า หรือ Facial contouring นั้น ถือเป็นการรักษาด้วยเทคนิคชั้นสูงทางด้านศัลยกรรมความงาม แพทย์ต้องเชี่ยวชาญจริง เพราะทำได้ยาก จึงทำให้มีราคาแพงมาก โดยมีขั้นตอนประกอบด้วย การแก้ไขรูปโครงกระดูกหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของรูปหน้าทั้งหมด จากนั้นก็ต้องแก้ไขส่วนเนื้อเยื่ออ่อน เพื่อทำให้รูปหน้าโดยรวมได้สัดส่วนที่เหมาะสมและดูเป็นธรรมชาติ คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิด เพราะเห็นโฆษณาการปรับรูปหน้าตามสถานพยาบาลต่างๆ ซึ่งทำเพียงแค่การฉีดคางให้ยาวออกฉีดลดไขมันที่แก้ม ฉีดโบท๊อกซ์ลดกราม หรือการร้อยไหมแก้ม เป็นต้น รวมถึงการโฆษณาที่ใช้เครื่องมือที่เป็นคลื่นวิทยุพลังงานสูง หรือเครื่องอัลตร้าซาวด์ พลังงานสูง ซึ่งไม่ได้ผลในการปรับรูปหน้าเลย การรักษาเหล่านี้เน้นไปที่เนื้ออ่อน โดยไม่คำนึงถึงโครงหน้าส่วนที่เป็นกระดูก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการปรับโครงรูปหน้า สำหรับผู้ที่มีรูปหน้าผิดปกติมาก การรักษาที่ดีที่สุดคือการผ่าตัด ซึ่งอาจมีทั้งตัดกระดูกออก หรือเสริมกระดูเพิ่มรวมถึงการผ่าดึงหน้าในกรณีที่มีการหย่อนคล้อยมาก และทุกวิธีการของการรักษาทั้งผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัดก็ตาม มักต้องมีการฉีดไขมันหรือฟิลเลอร์ร่วมไปด้วย เพื่อปรับส่วนเนื้ออ่อนให้เข้ารูป ทั้งนี้การผ่าตัดที่มีการตัดหรือเสริมกระดูกร่วม ถือว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่ คนไข้ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานประมาณ 3-4 สัปดาห์ และมีค่าใช้จ่ายหลักล้านบาท กรณีไม่สามารถพักฟื้นได้นาน หรือมีโรคประจำตัว ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถทนต่อการวางยาสลบผ่าตัดได้หลายๆ ชั่วโมง การรักษาทางเลือกแบบไม่ผ่าตัด ถือเป็นทางออกที่ดี เพราะใช้เวลาพักฟื้นเพียง 3-5 วัน และไม่ต้องวางยาสลบ แต่การรักษาอาจต้องกระทำ 2-3 ครั้ง เพื่อค่อยๆ ปรับโครงหน้าให้เข้ารูปตามต้องการแกละก็ยังมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 3-4 แสนบาทเช่นกัน ทั้งนี้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิชา จะทำให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อตามสื่อต่างๆ เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจสร้างปัญหาตามมาภายหลังด้วย
นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ
ผู้อำนวยการนานาชาติ สมาคมแพทย์เกาหลี
(Some images used under license from Shutterstock.com.)