Haijai.com


สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ของเด็กทารก


 
เปิดอ่าน 5609

Learning environment สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ของเด็กทารก

 

 

Learning environment ( สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ )

 

เคยได้ยินคำพูดที่บอกว่า “เราเป็นผลผลิตจากสภาพแวดล้อมของเราเอง” ไหมคะ ?  เป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่งที่สิ่งมีชีวิตเป็นนักปรับตัว และซึมซับสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ และสร้างให้คนแต่ละคนเป็นอย่างที่เป็นอยู่อย่างสลับซับซ้อนและแตกต่างกันออกไป   ต้องมีสภาพแวดล้อมอย่างไรจึงจะสร้างให้คนที่ยิ่งใหญ่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้  ? คนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต เติบโตมาในสภาพแวดล้อมอย่างไร ?  คนที่อบอุ่น เข้ากับคนได้ง่าย มีเพื่อนมากและได้รับความช่วยเหลือทุกครั้งที่มีปัญหา ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรจึงเป็นคนที่มีคนรักใคร่ขนาดนั้น ?  สมองน้อยๆ ตอนที่คนเหล่านี้เป็นเด็กทารกถูกโปรแกรมมาอย่างไร  หรือสมองของเด็กต้องได้รับการส่งเสริมเลี้ยงดูแบบไหน  เพื่อที่จะให้สมองทำงานได้เต็มที่ที่สุดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เราต้องการ ?

 

 

เด็กทารกจะมีการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัยที่แตกต่างกัน โดยวัยทารกแบ่งออกเป็น 6 ระยะ จนกระทั่งครบสองขวบปีก็ถือว่าสิ้นสุดวัยทารกเข้าสู่วัยเตาะแตะแล้ว ซึ่งนักจิตวิทยาบางท่านเรียกว่า “วัยแห่งการเริ่มคิด” เพราะเด็กจะรู้จักคิดวางแผนในใจก่อนที่จะลงมือทำการใดๆ ซึ่งแตกต่างไปจากสองปีแรก การเรียนรู้ของเด็กวัยทารกมีดังนี้

 

 

ระยะที่ 1 เป็นช่วงของการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ เริ่มตั้งแต่การปรับตัวต่ออุณหภูมิภายนอก เริ่มหายใจเอง เริ่มดูดนมแม่หรือนมขวด ในระยะนี้เด็กทารกจะใช้ปฏิกิริยาสะท้อนกลับในการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อความอยู่รอด เช่น การดูดนมเมื่อคุณแม่เอาหัวนมหรือนิ้วแตะที่ข้างแก้ม ลูกน้อยแรกคลอดก็จะหันมางับได้ หรือเมื่อตกใจก็จะขยับแขนขาเหมือนจะดิ้น ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นซ้ำหลายๆ ครั้ง ลูกน้อยก็จะเริ่มเรียนรู้และทำซ้ำจนกลายเป็นพฤติกรรม แต่ในระยะนี้จะเป็นพฤติกรรมกว้างๆ โดยทั่วไป ยังไม่ใช่พฤติกรรมที่เฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด

 

 

ระยะที่ 2 ช่วงนี้จะอยู่ในวัย 1-4 เดือน เป็นระยะของการเรียนรู้เบื้องต้น และการมองสิ่งต่างๆ รอบตัว ซึ่ง
เป็นไปอย่างต่อเนื่องมาจากระยะที่หนึ่ง เพราะเมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้แล้วว่าถึงเวลากินนม คุณแม่เปิดเสื้อขึ้น ไม่ต้องเอาหัวนมหรือนิ้วมาแตะที่แก้มเหมือนในช่วงแรกอีกแล้ว เด็กก็เตรียมพร้อมที่จะดูดนมแม่ได้ทันที นอกจากนี้เด็กในวัยนี้ยังพยายามที่จะสื่อสารกับคุณแม่ โดยการร้องไห้เมื่อหิว เหนื่อย เบื่อ ไม่สบายตัวหรือมีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น และเริ่มสนใจสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยการมองจ้องหรือมองตามสิ่งที่สนใจ เริ่มเล่นกับมือและเท้าของตนเอง และเริ่มมีพฤติกรรมเลียนแบบ เมื่อเห็นผู้ใหญ่ทำให้ดูบ่อยๆ เช่น กำมือ แลบลิ้น ฯลฯ

 

 

ระยะที่ 3 อยู่ในช่วงอายุ 4-9 เดือน เป็นระยะของการไขว่คว้าสิ่งของและการแยกแยะใบหน้าคน ในระยะนี้เจ้าตัวน้อยจะสามารถเอื้อมมือหยิบจับสิ่งของได้แม่นยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการประสานงานระหว่างสายตาและมือมีการทำงานที่ดีขึ้นอย่างมาก การหยิบจับวัตถุสิ่งของของเจ้าตัวน้อยในระยะนี้จะเป็นการหยิบ-จับ-คว้าสิ่งที่พบเห็นอยู่ตรงหน้าหรือที่อยู่ในสายตา ยังไม่สามารถค้นหาสิ่งที่อยู่นอกสายตาได้ เช่น เมื่อเล่นของเล่นชิ้นหนึ่งอยู่ และคุณแม่แอบหยิบของเล่นชิ้นนั้นไปซ่อนเอาไว้ข้างหลังคุณแม่ เจ้าตัวน้อยก็จะไปสนใจกับของเล่นชิ้นอื่นแทน นั่นเป็นเพราะเด็กในช่วงวัยนี้ยังไม่สามารถเชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคตได้ แต่ถ้าเป็นใบหน้าคนแล้วเจ้าตัวน้อยในช่วงวัยนี้ จะจำหน้าคนที่ใกล้ชิดคุ้นเคยและแยกแยะออกจากใบหน้าของคนแปลกหน้าได้แล้ว  และจะเริ่มแสดงอาการกลัวคนแปลกหน้าในช่วง 7-8 เดือนเป็นต้นไป  นอกจากนั้นพัฒนาการทางด้านสายตาของเจ้าตัวน้อย ก็ดีขึ้นถึงขนาดที่สามารถรับรู้ในเรื่องของมิติ  ความลึกและความคงที่ของวัตถุสิ่งของได้อีกด้วยค่ะ

 

 

ระยะที่ 4 เป็นระยะที่เจ้าตัวน้อยกำลังจะลุกยืนและหัดเดิน  และเป็นระยะแห่งการคิดเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันและอนาคต  อยู่ในช่วงอายุ 9-12 เดือน  โดยในช่วงนี้ เจ้าตัวน้อยจะเริ่มใช้ขาในการพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนและเกาะเดิน  เด็กจะผสมผสานสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เพื่อมาทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เพราะเด็กในช่วงวัยนี้จะเริ่มสามารถเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกันได้แล้ว  เจ้าตัวน้อยจะรู้จักค้นหาของที่หายไปจากสายตาได้เองแล้ว  นอกจากนี้ พฤติกรรมการเลียนแบบและทำตามจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงนี้  ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมโดยทั่วไป หรือการเลียนแบบในเรื่องการใช้ภาษาพูดก็ตาม

 

 

ระยะที่ 5 อยู่ในช่วงอายุ 12-18 เดือน  เป็นระยะของการเดินและสำรวจ  ในช่วงนี้เจ้าตัวน้อยจะเริ่มเดินเองได้แล้ว  การสำรวจสภาพแวดล้อมรอบบ้านจึงเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง  เจ้าตัวน้อยของเราจะทั้งบีบจับ ดม ชิม เลีย ดูด หรือแม้แต่กัด  เพื่อสำรวจและทดสอบสิ่งต่างๆ  รวมทั้งทดสอบปฏิกิริยาของคนใกล้ชิด  เช่น เมื่อเราทำอย่างนี้ คุณแม่ก็จะดุ  หรือเมื่อทำอีกแบบ คุณแม่ก็จะชม เป็นต้น

 

 

ระยะที่ 6 เป็นช่วงของการวางแผนและการฝึกพูด อยู่ระหว่างอายุ 18-24 เดือน  ในระยะนี้เจ้าตัวน้อยจะเริ่มรู้จักคิดวางแผนหรือทดลองทำในความคิดของตนเองก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริง  รู้จักวิธีการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น  สามารถเรียนรู้และจดจำคำศัพท์ต่างๆได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

 

 

ชอบความแปลกใหม่

 

มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความกระหายใคร่รู้ในสิ่งแปลกใหม่  มากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น  หรืออาจเรียกว่า “โรคชอบของแปลกใหม่” ( neophilia ) ถ้ามีการจัดสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย น่าตื่นเต้น น่าสนใจและอบอุ่นดูเป็นมิตร  เด็กวัยเตาะแตะก็จะใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงในการเรียนรู้และทดลองสำรวจสิ่งแปลกๆใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่เหนื่อยหน่าย  สมองน้อยๆจะทำงานและเติบโตจากการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างมีความสุข  และยิ่งเมื่อได้รับการส่งเสริมสนับสนุนกับการเรียนรู้เหล่านั้นจากพ่อแม่  เจ้าตัวน้อยก็จะยิ่งสนุกกับการสำรวจและทดลองจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณไปโดยไม่รู้ตัว และติดตัวไปจนกระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพเมื่อเจ้าตัวน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในเวลาต่อมา

 

 

กลัวความแปลกใหม่

 

แต่ถ้าพ่อแม่ปกป้องลูกมากเกินไป  กลัวว่าลูกจะได้รับอันตราย โดยไม่ปล่อยให้ลูกได้ทดลองสำรวจสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง  จนกลายเป็นการห้ามไปเสียทุกสิ่งอย่าง  หรือจ้องจะลงโทษเมื่อเห็นลูกลองทำสิ่งที่แปลกใหม่  เด็กก็กลายเป็น “โรคกลัวความแปลกใหม่” หรือ neophobia  ซึ่งตรงกันข้ามกับ neophilia โดยสิ้นเชิง  ถ้าสังเกตดูให้ดีในบางเรื่องก็เป็นเพียงเส้นแบ่งบางๆระหว่างการห้ามทำกับการปล่อยให้ทำ  ซึ่งทางที่ดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่อาจต้องคิดวางแผนป้องกันหรือวางมาตรการเอาไว้ล่วงหน้า  เพราะไม่อย่างนั้นเมื่อลูกโดนดุหรือห้ามทำในสิ่งที่กำลังจะทำอยู่บ่อยครั้งเข้า  เด็กก็จะกลายเป็นโรคกลัวความแปลกใหม่ได้นะคะ

 

 

ถ้าเป็นไม่มาก เด็กก็อาจกลัวหรือเข็ดขยาดกับเรื่องนั้นๆ หรือสถานการณ์คล้ายๆแบบนั้น  แต่ถ้าเป็นมาก  เด็กก็อาจจะกลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าเล่นหรือสำรวจสิ่งใหม่ๆเลย  ซึ่งนั่นจะไปตัดวงจรการเรียนรู้ของเด็กลงอย่างน่าเสียดาย  ทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกใหม่ด้วยความกลัว  และอาจทำให้มีผลในเรื่องพัฒนาการที่ล่าช้าในด้านอื่นๆตามมาได้ในที่สุด 

(Some images used under license from Shutterstock.com.)