Haijai.com


เด็กติดเกม อย่าโทษเกมอย่างเดียว


 
เปิดอ่าน 1576

อย่าโทษเกม อย่างเดียว

 

 

เด็กๆ ในสังคมของเรากำลังเติบโต เราหวาดเกรงและไม่ต้องการให้ไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมรุนแรงเช่นนั้น แต่เราจะต้องไม่ทำเพียงแค่สั่งงด ห้ามเด็กเล่นเกม แล้วสะบัดก้นจากไป เรายังต้องมองหาอะไรที่มากกว่านั้น

 

 

เป็นข่าวครึกโครมสะเทือนขวัญกันอีกครั้งหนึ่ง สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงถึงขั้นปลิดชีวิตคนขับรถแท็กซี่เคราะห์ร้าย

 

 

สภาพถูกจ้วงแทงและฟันด้วยมีดจนเลือดอาบทั่วร่างพร้อมร่องรอยเกรอะกรังเต็มไปหมดในรถแท็กซี่ที่ปรากฏในข่าวดูน่าสยดสยอง

 

 

เนื้อข่าวมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้ก่อเหตุพยายามขับรถเปื้อนเลือดคันนี้เพื่อนำไปขายให้สมเจตนาการจี้ชิงรถของตนเอง

 

 

แต่ไปไหนไม่รอด เพราะขับรถไม่เป็น !!!

 

         

น่าสลดใจกับการที่ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนอายุเพียง 18 ปี

 

         

น่าตกใจที่เหตุจูงใจเป็นเพียงความอยากได้รถจักรยานยนต์ที่ทำให้เด็กต้องก้าวไปสู่ความเป็นยุวอาชญากร

 

 

เมื่อถูกจับกุม ผู้ก่อเหตุร้ายนี้บอกเล่าต้นแบบที่มาของพฤติกรรมโหดร้ายครั้งนี้ว่าเกิดจากตัวอย่างที่เห็นในเกม GTA หรือ Grand Thief Auto ซึ่งตนนิยมเล่น     

 

 

ผู้ก่อเหตุบอกว่า ตนเองก่อความรุนแรงเพราะเกมคอมพิวเตอร์          

 

 

เพราะพ่อหนุ่มน้อยวัยสิบแปดรายนี้เชื่อในความง่ายของการก่ออาชญากรรมจากตัวอย่างในเกมที่เล่น จึงนำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตของโชเฟอร์แท็กซี่ และความเจ็บปวดรุนแรงของคนสองครอบครัว คือ ครอบครัวผู้สูญเสีย และครอบครัวของต้วพ่อหนุ่มเอง

 

         

แต่ถ้าเราเชื่อในสาเหตุเพียงเท่าที่พ่อหนุ่มรายนี้บอก อาจจะนำมาซึ่งความสูญเสียที่มากมายยิ่งกว่า 

 

         

อย่าได้เชื่อ  อย่าได้โทษเกม  ว่าเป็นเหตุผลเดียวที่นำไปสู่ความก้าวร้าวรุนแรงได้เพียงนี้

 

         

เพราะถ้าเราเชื่อว่าสมการชีวิตมันตรงไปตรงมาขนาดนั้น เราจะต้องเจ็บปวดจากปัญหาในลักษณะเช่นนี้อีก   ครั้งแล้ว  ครั้งเล่า

 

         

ความเชื่อง่ายๆ แบบนี้ จะมีผลให้เราลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นสั่งเซ็นเซอร์เกมนั้นเกมนี้ แล้วก็แถลงข่าวถึงพิษภัยของเกมกันให้เป็นที่เอิกเกริกกันสักพัก

 

         

เพื่อที่จะพบว่ามีเกมแปลกพิศดารอื่นโผล่ขึ้นมาให้เราตามเซ็นเซอร์บ้าง เผลอปล่อยๆ ไปบ้าง

 

         

หรืออาจจะยังมีสื่อรูปแบบอื่น เช่น ภาพยนตร์ ละคร หนังสือ ฯลฯ ที่แม้จะไม่ดึงดูดใจและก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมมากเท่ากับเกมคอมพิวเตอร์ แต่ก็อาจถูกอ้างอิงในฐานะที่เป็นตัวอย่างให้ “คนบางคน” ลอกเลียนก่อความรุนแรงได้อีก

 

         

จริงอยู่ที่เกมเลวร้ายนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องถูกกรองออกไปให้พ้นจากสังคมของเรา
เพราะเจ้าเกมพวกนี้ มีโอกาสเป็นตัวปลุกเร้าความรุนแรงของผู้เล่นที่มีความสุ่มเสี่ยงอยู่เดิม

 

         

แต่ประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่า และต้องให้ความสำคัญอย่างมากคือ ผู้เล่นที่มีความสุ่มเสี่ยงนั้น  คือใคร  ความเสี่ยงนั้นเกิดจากอะไร  เกี่ยวข้องกับใครบ้าง

 

         

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ควรทำให้เราทุ่มเทล้อมคอกด้วยการมุ่งควบคุมกำกับเรื่องใดเพียงเรื่องเดียว

 

         

แต่เราควรจะมองหาทุกช่องว่างที่เราจะต้องจัดการให้มากที่สุด

 

         

เด็กๆในสังคมของเรากำลังเติบโต  เราหวาดเกรงและไม่ต้องการให้ไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมรุนแรงเช่นนั้น แต่เราจะต้องไม่ทำเพียงแค่สั่งงด  ห้ามเด็กเล่นเกม  แล้วสะบัดก้นจากไป

 

         

เรายังต้องมองหาอะไรที่มากกว่านั้น 

 

         

สภาพเพื่อนฝูงรอบตัวของเด็กเป็นเช่นไร เด็กกำลังโดดเดี่ยวกับการปรับตัวไม่ได้เพราะขาดทักษะทางสังคม  หรือเด็กกำลังถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเพื่อนเกะกะเกเรใช่ไหม

 

         

โรงเรียนมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน มีเวทีหรือโอกาสให้เด็กแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความภูมิใจในตนเองที่สมวัยหรือไม่ หรือเป็นบรรยากาศสุดโต่งที่เน้น    การแข่งขันที่ชื่อเสียงจนละเลยคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ ของเด็กไปเสียหมด

 

 

 

ที่สำคัญที่สุด  สิ่งแวดล้อมใกล้ตัวคือครอบครัวนั้น  เป็นอย่างไร บรรยากาศความรุนแรงตบตีทำร้ายกำลังครอบคลุมครอบครัวอยู่หรือไม่ เหล้า หรือสารเสพติดกำลังมอมเมาจิตใจสมาชิกในบ้านใช่ไหม หรือการห่างเหิน ละเลย กำลังบั่นทอนให้เด็ก ๆ เศร้าหมอง โดดเดี่ยว   หรือความคาดหวังกำลังกดดันบีบคั้นให้เด็กเกรี้ยวกราด หรือความอิจฉาพี่น้องกำลังบีบคั้นให้เด็กรู้สึกด้อยค่า

 

         

มีจุดอ่อนอีกมากมายเหลือเกินที่สามารถทำให้เยาวชนที่กำลังเติบโตเหวอะไปด้วยบาดแผลชีวิต

 

         

เกมคอมพิวเตอร์อาจเป็นเชื้อโรคเล็กๆ ที่แผ่ซ่านขยายพิษไปทำร้ายจนอนาคตของเด็กต้องสิ้นสุดลง

 

         

แต่แม้ไม่มีเชื้อโรคนี้ก็ยังมีเชื้ออื่นมากมายที่พร้อมจะเล่นงานร่างกายเหวอะหวะอ่อนแอ

 

         

คงเป็นเรื่องน่าเศร้านัก หากพ่อแม่จะยึดถือเอาคำบอกเล่าว่าเกมทำให้เด็กรุนแรง แล้วถือปฏิบัติด้วยการกลับบ้านไปตำหนิ ดุว่า ด่าทอให้เด็กยุติการเล่นเกมให้ได้ โดยไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกและสัมพันธภาพที่มีปัญหาระหว่างสมาชิกครอบครัวที่ซ่อนเร้นอยู่

 

         

การสั่งให้เด็กยุติการเล่นเกมนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งบาดแผลในจิตใจที่ทำให้เด็กอ่อนแอลงอีกได้ด้วยซ้ำไป

 

         

ถ้าไม่แก้ที่สาเหตุที่แท้จริง อีกหน่อย อาจมีข่าวความก้าวร้าวรุนแรงของเด็ก ซึ่งมีเหตุอ้างว่าเป็นเพราะผู้ใหญ่ชอบห้ามเล่นเกม

 

         

ถ้าเป็นแบบนั้น  เราจะต้องมาแถลงข่าว สั่งยุติ “การห้ามเด็กเล่นเกม” กันไหมเนี่ย

 

 

พญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์

(Some images used under license from Shutterstock.com.)