Haijai.com


ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)


 
เปิดอ่าน 3075

ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)

 

 

เนื่องจากสังคมไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (มีผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี มากกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ) มาเป็นเวลานานแล้ว ความชุกของภาวะกระดูกพรุนจึงมีมาก มีผู้ประมาณไว้ว่า 1 ใน 7 ของผู้หญิงไทยอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไปมีภาวะกระดูกพรุน ในขณะที่ผู้ชายจะมีความชุกประมาณ 1 ใน 8

 

 

กลุ่มคนที่ควรตรวจความหน้าแน่นของมวลกระดูก คือ สตรีวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะผู้ที่ประจำเดือนหมดเร็วกว่าปกติ โดยอาจจะมาตรวจสักครั้งหนึ่ง ถ้าผลที่ได้ออกมาปกติ ก็ให้มาตรวจซ้ำทุก 2-5 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป ควรตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกทุกปี

 

 

กระดูกพรุน เกิดจากความแข็งแรงของกระดูก (พิจารณาจากมวลกระดูกและโครงสร้างของกระดูก) ลดลง ทำให้กระดูกหักง่ายกว่าปกติ สาเหตุที่ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงมีอยู่ 3 ประการ คือ

 

 วัยหมดประจำเดือน

 

 

 อายุที่มากขึ้น โดยร่างกายจะมีการสะสมความหนาแน่นของกระดูกมาตั้งแต่เด็ก และความหนาแน่นของกระดูกจะมีค่าสูงสุดในช่วงอายุ 20-30 ปี จากนั้นจะค่อยๆ ลดลง

 

 

 เกิดจากโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ ธาลัสซีเมีย หรือโรคไต หรือเป็นอาการข้างเคียงจากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก สเตียรอยด์ เป็นต้น จากสาเหตุที่ทำให้กระดูกมีความแข็งแกร่งลดลง เราจึงสามารถกำหนดกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนได้ดังนี้

 

 

-สตรีวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่หมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ

 

 

-ผู้ที่มีญาติประสบกับภาวะกระดูกพรุน

 

 

-ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมกว่าปกติ

 

 

-ผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย

 

 

-ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก สเตียรอยด์ เป็นต้น

 

 

ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

 

แม้ดูเหมือนว่าภาวะกระดูกพรุนจะไม่เป็นอันตรายมาก แต่ที่จริงแล้วภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในหลายด้าน ปัญหาที่ตามมาของภาวะนี้ คือ กระดูกหัก ซึ่งเกิดได้หลายตำแหน่ง ที่สำคัญ คือ กระดูกส่วนหลังที่ยุบลง กระดูกคอสะโพกหัก รวมทั้งกระดูกในตำแหน่งอื่นๆ เช่น กระดูกหัวไหล่ ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการดำเนินชีวิตตามปกติ การสำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ภาวะกระดูกพรุนเป็นสาเหตุของความพิการอันดับที่ 2 รองจากโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่มีกระดูกคอสะโพกหักร้อยละ 20 จะเสียชีวิตภายในปีแรก ส่วนที่เหลือก็มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง

 

 

การวินิจฉัย

 

ภาวะกระดูกพรุนจัดว่าเป็นภัยเงียบ เพราะไม่มีอาการแสดงชัดเจน อาจมีในบางคน เช่น ความสูงลดลง หลังค่อม การตรวจหาภาวะนี้ จึงอาจทำได้โดยการตรวจมวลกระดูก โดยใช้เครื่อง DEXA (Dual Energy X – Ray Absorptionmetry) แพทย์จะนำค่าที่ตรวจได้ไปเทียบกับค่ามวลกระดูกในวัยหนุ่มสาว โดยถ้าค่ามวลกระดูกที่ได้ต่ำกว่า -2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคนหนุ่มสาว จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะกระดูกพรุน ถ้าค่าที่ได้อยู่ระหว่าง -.25 ถึง -1 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคนหนุ่มสาว จะจัดอยู่ในภาวะกระดูกบาง แต่ถ้าสูงกว่า -1 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคนหนุ่มสาว ถือว่าเป็นปกติ กลุ่มคนที่ควรตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกคือสตรีวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะผู้ที่ประจำเดือนหมดเร็วกว่าปกติ โดยอาจจะมาตรวจสักครั้งหนึ่ง ถ้าผลที่ได้ออกมาปกติ ก็ให้มาตรวจซ้ำทุก 2-5 ปี ส่วนผู้ที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป ควรตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกทุกปี

 

 

การป้องกันและการรักษา

 

ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่า ภาวะกระดูกพรุนส่งผลกระทบด้านลบต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก เราจึงควรตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันภาวะนี้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งแคลเซียม ซึ่งได้แก่ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กุ้งฝอย ผักใบเขียว โดยปกติร่างกายคนเรามีการถ่ายเทแคลเซียมอยู่ตลอดเวลา ส่วนการสะสมแคลเซียมเพื่อสร้างกระดูมีมาตั้งแต่วัยเด็กจนสูงสุดที่อายุ 20-30 ปี จากนั้นก็จะลดลง ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณแคลเซียมที่สะสมในร่างกาย ได้แก่ พันธุกรรมและปริมาณแคลเซียมที่ได้รับตั้งแต่วัยเด็ก แม้ว่าบางคนอาจจะมีพันธุกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน แต่ถ้ามีการสะสมแคลเซียมในปริมาณพอสมควร ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดังกล่าวได้

 

 

อย่างไรก็ตามผลการสำรวจในคนไทยพบว่า ผู้หญิงไทยได้รับแคลเซียมจากอาหารประมาณ 250 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผู้ชายได้รับประมาณ 350 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งที่ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับคือ 1,000-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จึงควรเพิ่มปริมาณอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมให้มากขึ้น และ/รับประทานแคลเซียมเสริม

 

 

ปัญหาหนึ่งที่มีผู้กังวลเกี่ยวกับการเสริมแคลเซียม คือ การเกิดนิ่วในไต จากการศึกษาพบว่าแคลเซียมเสริมทำให้เกิดนิ่วในไตได้มากกว่าแคลเซียมจากอาหาร เนื่องจากแคลเซียมเสริมจะไปจับตัวกับออกซาเลต เกิดเป็นตะกอนของแคลเซียมออกซาเลตในระบบทางเดินปัสสาวะ ในขณะที่แคลเซียมจากอาหารจะไปจับกับออกซาเลตในระบบทางเดินอาหาร แล้วขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไต จึงควรรับประทานแคลเซียมเสริมพร้อมอาหารทันที หรือรับประทานในช่วงอาหารกลางวันและอาหารเย็น ซึ่งในช่วงดังกล่าว แคลเซียมส่วนเกินจะจับกับออกซาเลตในอาหารแล้วถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ นอกจากนี้ควรดื่มน้ำมากๆ หลังจากรับประทานแคลเซียมเสริม และควรตระหนักด้วยว่าร่างกายจะรับแคลเซียมได้ในปริมาณหนึ่งเท่านั้น ถ้ารับประทานมากเกินกว่าปริมาณที่รับได้ แคลเซียมส่วนเกินก็จะถูกขับออกมาหมด การรับประทานแคลเซียมในปริมาณต่อครั้งที่มากเกินไป จึงไม่เกิดประโยชน์

 

 

นอกจากแคลเซียมแล้ว ควรใส่ใจต่อการเสริมวิตามินดี ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม โดยการออกไปรับแสงแดดในช่วงเวลาก่อนสิบโมงเช้าและหลังบ่ายสามโมง

 

 

ภาวะกระดูกพรุนส่งผลกระทบด้านลบต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก เราจึงควรตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันภาวะนี้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งแคลเซียม ซึ่งได้แก่ ปลาตัวเล็กตัวน้อย กุ้งฝอย ผักใบเขียว

 

 

เป้าหมายในการรักษาภาวะกระดูกพรุน คือ ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะกระดูกหัก รวมทั้งป้องกันไม่ให้กระดูกบางลงในเวลาอันรวดเร็ว การที่จะทำให้กระดูกกลับไปแข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาวเป็นไปได้ยาก การรักษาประกอบด้วย การเสริมแคลเซียม การใช้ยาลดการสลายของกระดูก และยาช่วยเพิ่มการสะสมของมวลกระดูก รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุ และหาอุปกรณ์เสริมให้ผู้ป่วย เช่น ไม้เท้า เครื่องช่วยเดินแบบสี่ขา เป็นต้น เพื่อป้องกันการหกล้ม อันจะเป็นสาเหตุให้กระดูกหัก

 

 

เราทุกคนควรปลูกฝังให้ลูกหลานตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระดูกตั้งแต่เด็กๆ โดยการดูแลให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และออกไปรับแสงแดด เพื่อเสริมวิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมบ้าง การตระหนักรู้เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว อาจจะสายเกินไป อย่างไรก็ตามหากเกิดภาวะนี้ขึ้นแล้ว ควรมาพบแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกันรักษาต่อไป

(Some images used under license from Shutterstock.com.)





ยกกระชับช่องคลอด Vaginal Lift Vaginal Morpheus Pro Morpheus ยกกระชับ Oligio Body Oligio IV Drip ดริปวิตามิน Emsella รีแพร์ เลเซอร์นอนกรน นอนกรน Indiba ปากกาลดน้ำหนัก ลดน้ำหนัก Emsculpt สลายไขมัน สลายไขมันด้วยความเย็น Coolsculpting romrawin รมย์รวินท์ Belotero ผิวฉ่ำ Glassy Skin Juvederm Coolsculpting เลเซอร์รอยสิว Meso Hair Skinvive ฟิลเลอร์แก้มตอบ ฟิลเลอร์น้องชาย ฟิลเลอร์น้องสาว ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์หน้าผาก ฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์คาง ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์ ฉีดโบหางตา ฉีดโบลิฟกรอบหน้า ฉีดโบหน้าผาก ฉีดโบยกมุมปาก ฉีดโบปีกจมูก ฉีดโบลดริ้วรอยระหว่างคิ้ว ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา ฉีดโบลดกราม ฉีดโบรักแร้ ฉีดโบลดริ้วรอย โบลดริ้วรอย ดื้อโบลดริ้วรอย Volnewmer Linear Z ยกมุมปาก Morpheus8 ลดร่องแก้ม Ultraformer III Ultraformer MPT Emface Hifu ยกกระชับหน้า Ultherapy Prime Ulthera Ulthera Thermage FLX Thermage Oligio Oligio ร้อยไหมจมูก ร้อยไหม เลเซอร์บิกินี่ เลเซอร์ขนน้องสาว เลเซอร์ขนหน้า เลเซอร์บิกินี่ เลเซอร์ขนบราซิลเลี่ยน เลเซอร์ขนขา เลเซอร์หนวด เลเซอร์รักแร้ กำจัดขนถาวร กำจัดขน เลเซอร์ขน เลเซอร์ขน Pico Laser Pico Majesty Reepot Laser Gouri Exosome Harmonyca Profhilo Sculptra Sculptra Radiesse Radiesse Radiesse Radiesse Radiesse Radiesse UltraClear AviClear Accure Laser Fit Firm Emsculpt Coolsculpting Elite NAD+ ดีท็อกลำไส้ EIS BIO SCAN ICELAB IV DRIP Vaginal P-SHOT O-Shot LLLT ปลูกผม รักษาผมร่วง ผมร่วง ผมบาง ปลูกผม ปลูกผมถาวร ปลูกผม FUE ปลูกผม ดูดไขมัน ดึงหน้า ทำตาสองชั้น เสริมจมูก ยกคิ้ว เสริมหน้าอก วีเนียร์ Apex