
© 2017 Copyright - Haijai.com
ไฟโตสเตอรอล คืออะไร
ไฟโตสเตอรอล คือ สารกลุ่มสเตอรอล (STEROL) ที่ได้จากพืช สามารถเทียบได้กับคอเลสเตอรอลที่เป็นสเตอรอลจากสัตว์ สเตอรอลเป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์พืช โดยมีความสำคัญต่อพืชเหมือนกับที่คอเลสเตอรอลมีความสำคัญต่อเซลล์ของมนุษย์ โดยทั่วไปพบสเตอรอลในพืชในปริมาณไม่มากนัก ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเหคราะห์สเตอรอลจากพืชได้ รวมทั้งยังดูดซึมสเตอรอลจากพืชในทางเดินอาหารได้ในปริมาณที่น้อยมาก
ตามปกติไฟโตสเตอรอลที่ได้จากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์จะออกฤทธิ์ได้เท่ากัน ยังไม่พบว่าสเตอรอลต่างชนิดกันจะมีฤทธิ์ทางชีวภาพแตกต่างกัน อีกทั้งยังไม่มีองค์การทางอาหารกำหนดขนาดของสเตอรอลที่ควรได้รับในแต่ละวัน หรือขนาดสูงสุดที่รับประทานได้ในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่า ขนาดที่เหมาะสมในแต่ละวันคือ 1.5-2.5 กรัม การใช้ในขนาดที่สูงกว่านี้ไม่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งผลิตภัณฑ์ไฟโตสเตอรอลที่มีวางจำหน่ายมักอยู่ในรูปแบบของอาหารเสริมสเตอรอล เช่น ช็อคโกแลต อาหารแท่งธัญพืช เครื่องดื่ม เนยเทียม นม เป็นต้น เนื่องจากไฟโตสเตอรอลที่ผสมในอาหารจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าไฟโตสสเตอรอลตามปกติ
ผลของสเตอรอลต่อสุขภาพ
ไฟโตสเตอรอลเป็นสารที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย และไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่สามารถแทนที่คอเลสเตอรอลในไขมันกลุ่มลิปิด ที่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารได้ ทำให้ทางเดินอาหารดูดซึมคอเลสเตอรอลได้น้อยลง จากการศึกษาพบว่าสามารถใช้ไฟโตสเตอรอลสำหรับลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (แอลดีแอล : LDL cholesterol) ในผู้ที่มีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงชนิดไม่รุนแรง โดยอาจใช้ร่วมกับยาลดไขมันกลุ่มสแตติน เพื่อลดแอลดีแอลในเลือดได้ แต่ไม่สามารถใช้ในการลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ นอกจากนี้ไฟโตสเตอรอลยังไม่สามารถเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นสูง (เอชดีแอล : HDL cholesterol) ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีได้
เนื่องจากสเตอรอลจากพืชมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับคอเลสเตอรอล จึงสามารถทำให้คลอดเลือดแข็งตัวได้ เช่นเดียวกับคอเลสเตอรอล แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากร่างกายดูดซึมไฟโตสเตอรอลได้น้อยมาก จึงไม่ก่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเหมือนคอเลสเตอรอล ยกเว้นในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เรียกว่า ไซโตสเตียโรรีเมีย (sitosterolemia) ที่สามารถดูดซึมไฟโตสเตอรอลได้มากกว่าปกติ จนเป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากไฟโตสเตอรอลสามารถถูกเปลี่ยนเป็นสารที่มีพิษต่อเซลล์ได้ ด้วยปฏิกิริยาถ่ายทอดอิเล็กตรอน จากการศึกษายังพบอีกว่าการให้ไฟโตสเตอรอลพร้อมอาหารทางหลอดเลือดดำ ทำให้เกิดภาวะน้ำดีคั่ง (cholestasis) ได้ นอกจากนี้ไฟโตสเตอรอลจะยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอล โดยการไปยับยั้งการดูดซึมสารอนุพันธ์ของวิตามินเอที่สำคัญ เช่น ไลโคปีนและเบตาแคโรทีนด้วย แต่ผลดังกล่าวไม่มีความสำคัญในกรณีที่รับประทานไฟโตสเตอรอลจากอาหารตามปกติ เนื่องจากร่างกายจะได้รับเส้นใยจากสารอาหารด้วย
นอกจากการศึกษาผลของไฟโตสเตอรอลในการลดไขมันในเลือดแล้ว ยังมีงานวิจัยการใช้สเตอรอลสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง เบาหวาน ต่อมลูกหมากโตและฤทธิ์ต้านอักเสบของไฟโตสเตอรอล แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงฤทธิ์ของสเตอรอลในการรักษาโรคข้างต้น
ปฏิกิริยาระหว่างยา
จากการศึกษาในเซลล์พบว่า ไฟโตสเตอรอลสามารถยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่ขนส่งยาที่สำคัญหลายชนิด เช่น พีไกลโคโปรตีน (P-glycoprotein) และโปรตีนที่ทำให้ดื้อยาหลายชนิด (multidrug resistance protein) ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดนี้ร่วมกับยาอื่น
ถึงแม้ว่าไฟโตสเตอรอลจะสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่ก็สามารถก่อโรคหลอดเลือดแข็งและความดันโลหิตสูงได้เหมือนคอเลสเตอรอล และยังยับยั้งการดูดซึมวิตามินเอจากทางเดินอาหารได้ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการรับประทานไฟโตสเตอรอล เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จึงควรรับประทานเพื่อการป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง และต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารที่เสริมไฟโตสเตอรอล อีกทั้งยังควรตระหนักด้วยว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด สามารถเกิดพิษหรือทำให้ร่างกายแพ้ได้ไม่แตกต่างจากการใช้ยา
ภก.ณัฐวุฒิ ลีากนก
(Some images used under license from Shutterstock.com.)