
© 2017 Copyright - Haijai.com
เตรียมให้พร้อมสู่วัยเรียน
ถามแม่ กำลังวางแผนที่จะให้ลูกสาวอายุ 2.3 ปีเข้าโรงเรียนในเทอมนี้ แต่อากง อาม้าไม่เห็นด้วย บอกว่าให้อยู่บ้านไปก่อนเพราะยังเล็ก แต่ดิฉันก็อยากให้ลูกไปมีเพื่อนๆ บ้างเพราะกลางวันดิฉันกับสามีก็ไปทำงาน ลูกอยู่กับผู้ใหญ่ไม่ทราบว่าเด็กวัยนี้สมควรเข้าโรงเรียนหรือยังคะ
แม่ตอบ เด็กวัยสองขวบกว่าถือว่าเป็นวัยที่กำลังสนุกกับการเรียนรู้ทุกอย่างจากสิ่งรอบตัว อยากแสดงศักยภาพให้คนรอบข้างได้เห็นความเก่งของเขา อยากเป็นที่ยอมรับ ช่างพูด ลูกเล่นเยอะ กำลังน่ารักเลยค่ะ ไม่แปลกที่อากง อาม่าและป้าไม่อยากให้ไปไหนไกลหูไกลตา น้องโชคดีมากค่ะที่มีผู้ใหญ่ห้อมล้อมช่วยกันอบรมเลี้ยงดูและเป็นเพื่อนเล่นในวัยสำคัญของชีวิต ต่างจากครอบครัวเดี่ยวที่เด็กต้องอยู่กับพี่เลี้ยง อันนั้นคงไม่ต้องรีรอหรือสองจิตสองใจเหมือนคุณแม่ค่ะ จริงๆ ถ้าเราตกลงแนวทางเลี้ยงดูอย่างถูกวิธีกันได้ ส่งเสริมให้รู้จักการช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน ฝึกให้เขานั่งทานข้าวเอง หรือบอกความต้องการของตนเองได้ เช่น หนูหิวน้ำค่ะ ผมปวดปัสสาวะครับ พูดคุยสื่อสาร อ่านนิทานให้ลูกฟัง ฝึกวินัยเล็กๆ น้อยๆ เล่นแล้วให้เก็บนะ หรือพาออกไปเล่นกับเพื่อนข้างบ้าน ให้เขาเรียนรู้วิธีการเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน แทนการปล่อยให้ลูกอยู่หน้าจอโทรทัศน์เป็นเวลานานๆ และอีกเรื่องที่สำคัญ คือ อย่าตามใจเด็กนะคะ เพราะจะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง จะเอาอะไรต้องได้เดี๋ยวนี้ เพราะหนูเคยได้มาโดยตลอด จึงต้องสอนด้วยเหตุและผล ไม่จำเป็นต้องให้ทุกครั้งไป เท่านี้ก็ทำให้ลูกเรามีพัฒนาการที่ดีได้เหมือนกัน หากทำได้อย่างนี้แล้วครูอั๋นว่าให้ลูกอยู่บ้านเพื่อเตรียมความพร้อมอีกหน่อยน่าจะดีกว่าค่ะ
ตรงกันข้ามหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็อาจจะต้องมองหาโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็กใกล้บ้านที่มีสภาพแวดล้อมดี ใกล้ชิดธรรมชาติ ปลอดภัย บุคลากรเอาใจใส่และรักเด็ก ควรให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่นเพื่อกระตุ้นกระบวนการคิดและปลูกฝังการรักเรียนเพราะถ้าลูกเรียนอย่างสนุกมีความสุขเขาก็อยากจะไปโรงเรียน พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็พลอยสบายใจ จากงานวิจัยบอกไว้ชัดเจนว่าเด็กที่เข้าเรียนเนอสเซอรี่ก่อนจะมีความพร้อมด้านการปรับตัวในสังคม ความมีระเบียบปฏิบัติในชีวิตประจำวันและช่วยเหลือตัวเองได้เร็วกว่าเด็กที่เข้าช้าค่ะ ส่วนเรื่องสุขภาพนี่สำคัญมากสำหรับเด็กวัยนี้ เพราะถ้าลูกเจ็บป่วยบ่อยก็ส่งผลต่อพัฒนาการหลายด้าน แน่นอนว่าเมื่อลูกเริ่มไปโรงเรียนโอกาสของการเจ็บป่วยก็ต้องมีตามมาชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้ลยล่ะค่ะ ฉะนั้นเพื่อให้ลูกมีความเสี่ยงกับการติดเชื้อน้อยลงลองมองหาโรงเรียนที่ห้องเรียนและห้องนอนเปิดโล่งรับอากาศน่าจะดีที่สุดสำหรับเด็กวัยนี้ค่ะ
โรงเรียนแห่งที่สองในชีวิตลูกรองจากบ้านก็ควรจะเป็นบ้านหลังที่สอง ที่เมื่อลูกไปแล้วรู้สึกอบอุ่นมั่นคงไว้วางใจและประทับใจที่สุดค่ะ จึงจำเป็นต้องมีครูที่เข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก มองเห็นความงามในความแตกต่างของเด็กแต่ละคน เหมือนที่เรารักลูกเราในแบบที่เขาเป็นนั่นแหละค่ะ ปัจจุบันมีโรงเรียนดีๆ ให้ผู้ปกครองเลือกมากมาย คงไม่ยากนักที่จะหา หากเราและลูกลองเข้าไปสัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ในโรงเรียนที่จะเลือกให้ลูกด้วยตัวของเราเอง...เรื่องราวที่ครูอั๋นเล่าให้ฟังน่าจะพอเป็นข้อมูลให้คุณแม่ตัดสินใจได้บ้างนะคะ เพราะปัญหาของคุณแม่เป็นปัญหายอดนิยมที่เกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน แม้กระทั่งตัวครูอั๋นและลูกชายเองก็เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันนี้มาแล้ว
ลองดูนะคะขอให้โชคดีค่ะ
“ครูอั๋น อันธิกา ภูวภิรมย์ขวัญ” คุณแม่ของลูกชาย
ผู้อำนวยการโรงเรียนช้างเผือก
(Some images used under license from Shutterstock.com.)