
© 2017 Copyright - Haijai.com
ยุงลาย ตัวร้ายไข้เลือดออก
หนึ่งในบรรดาโรคที่มักถูกจับตามองเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน คือ “ไข้เลือดออก” ซึ่งมียุงลายเป็นพาหนะนำโรคที่เป็นเช่นนี้ เพราะในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำขังอยู่ตามภาชนะหรือแหล่งต่างๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงได้เป็นอย่างดี ทำให้มียุงลายชุกชุมกว่าช่วงอื่นๆ จึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้เลือดออกสูง ถึงแม้ว่าไข้เลือดออกจะเป็นโรคที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันดี ทว่าในแต่ละปีกลับมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนั้น เพื่อเป็นการเน้นย้ำให้ทุกคนได้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากไข้เลือดออก จึงขอนำเสนอแนวทางการในการป้องกันพร้อมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน โดยในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ผศ.นพ.เกรียงศักดิ์ ลิมป์กิตติกุล ภาควิชากุมารเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นผู้ให้ข้อมูล
ไข้เลือดออกเกิดจาก “เชื้อไวรัสเดงกี” มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ โดยยุงลายหนึ่งตัวสามารถนำพาเชื้อได้หลายสายพันธุ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ายุงตัวนั้นไปดูดเลือดของคนที่มีเชื้อสายพันธุ์ได้อยู่ ในอดีตโรคนี้พบมากในเด็กวัยเรียน แต่ปัจจุบันเริ่มพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ อาจเพราะมีการดูแลไม่ให้เด็กถูกยุงกัดได้ดีขึ้น เด็กๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยลง การติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรก มักไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก จนผู้ที่ได้รับเชื้ออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองติดเชื้อไวรัสเดงกี และเมื่อติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้ว ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต แต่ถ้ามีการติดเชื้อครั้งที่ 2 จากเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์อื่น อาการป่วยจะหนักกว่าเดิม และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
สำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกีแบบไม่มีอาการ อาจสามารถแพร่เชื้อผ่านยุงลายที่มากัดได้ คล้ายกับผู้ที่มีอาการ แต่เชื่อว่าระยะเวลาในการแพร่เชื้ออาจจะสั้นกว่า เนื่องจากปริมาณเชื้อน้อยกว่า ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ “การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด” เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะไม่ได้รับเชื้อ และไม่ได้เป็นผู้แพร่เชื้อไปสู่คนอื่น
อาการต้องสงสัยไข้เลือดออก
อาการเด่นชัดที่สังเกตได้ของไข้เลือดออก คือ
1.มีไข้สูงลอย กินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดลง หรือลดลงเพียงครู่เดียวเท่านั้น
2.มีอาการปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระบอกตา
3.มักไม่ค่อยมีอาการไอ น้ำมูก หรือถ้ามีก็มีอาการไม่ชัดเจน
นอกจากนี้ยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน กินอาหารไม่ได้ ปวดท้อง เป็นต้น ดังนั้นถ้าพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะ 3 อาการเด่นตามที่ระบุไว้ข้างต้น ควรรีบไปพบแพทยืเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุโดยทันที เพราะเป็นไปได้ว่าอาจเป็นอาการของโรคไข้เลือดออก ซึ่งในปัจจุบันการตรวจหาเชื้อไข้เลือดออก สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จึงช่วยให้การดูแลรักษาผู้ป่วยทำได้ง่ายขึ้น
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
ปัจจุบันได้มีการคิดค้นพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นผลสำเร็จแล้ว โดยครอบคลุมไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ และได้รับการขึ้นทะเบียนในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเมื่อเดือนกันยายน 2559 โดยสามารถฉีดได้ในกลุ่มอายุ 9-45 ปี ทั้งหมด 3 เข็ม เว้นระยะ 6 เดือนในการฉีดแต่ละครั้ง
“แล้วเราควรจะฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกดีไหม” สำหรับผู้ที่กำลังตั้งคำถามนี้อยู่ในใจ แนะนำให้พิจารณาจากข้อมูลต่อไปนี้
• ผู้เข้ารับการฉีดจะต้องไม่มีโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
• มีอายุระหว่าง 9-45 ปี
• ประสิทธิภาพของวัคซีนตรงตามที่คาดหวัง ต้องเข้าใจก่อนว่า วัคซีนชนิดนี้สามารถป้องกันไข้เลือดออกได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 60% และลดการนอนโรงพยาบาล รวมถึงป้องกันอาการแทรกซ้อนของโรคได้ประมาณ 80% ดังนั้น หากหวังผล 100% คงต้องพิจารณาปรับความคาดหวังกันใหม่
• ราคาของวัคซีน ในแต่ละสถานพยาบาลราคาวัคซีนจะแตกต่างกันไป ที่โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ราคาจะอยู่ที่เข็มละประมาณ 3,000 บาท (ในปี 2560) ซึ่งจะต้องฉีดให้ครบทั้ง 3 เข็ม
หลักจากพิจารณาข้อมูลส่วนนี้ครบแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่าจะตัดสินใจเช่นไร
อย่างไรก็ตามวัคซีนไข้เลือดออกเป็นเพียงมาตรการเสริมในการป้องกันโรคเท่านั้น มาตรการหลักที่ทุกคนควรยึดเป็นหลักปฏิบัติก็คือ การป้องกันไม่ให้ยุงกัด การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การพ่นยาฆ่ายุงในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ซึ่งมาตรการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องักนการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่มียุงเป็นพาหะอีกด้วย
(Some images used under license from Shutterstock.com.)