
© 2017 Copyright - Haijai.com
เข้าใจและจัดการกับอารมณ์เกรี้ยวกราดของเด็ก
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากคุณพ่อคุณแม่ผู้อ่านเป็นอย่างดีมาก เพราะการเลี้ยงลูกต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันของทั้งคนเป็นพ่อและคนเป็นแม่ ลูกถึงจะเติบโตขึ้นมาอย่างชาญฉลาด มีศักยภาพ พร้อมทั้งพัฒนาการที่ดีครบทุกด้าน รวมถึงเรื่องของจิตใจของลูกด้วย ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอผล กระทบที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างของการเลี้ยงดูลูกที่หากเราไม่ทำความเข้าใจให้ดีก็อาจเป็นการทำร้ายลูก ทางอ้อมโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้ ส่วนในปีนี้ยังคงมีเนื้อหาที่จะนำเสนอให้ได้ทราบกันต่อไปอีก เพราะทางทีมงานได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานต่อไปในอนาคตข้างหน้าได้เป็นอย่างดีค่ะ
จากหนังสือ The Science of Parenting ผู้เขียน Ms.Margot Sunderland, Director of Education and Training, Center for Child Mental Health, London พูดถึงช่วงวัยทองของสมองลูกจะอยู่ที่ช่วงแรกเกิดจนถึง 5 ขวบปีแรกที่สมองสามารถพัฒนา ทำการเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว และเป็นช่วงที่เด็กๆ ควรจะได้เรียนรู้ทุกประสบการณ์ที่แปลกใหม่จากพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้เป็นผลดีต่อพัฒนาการด้านสมองของลูก
คุณพ่อคุณแม่คงเคยสังเกตเห็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับลูก อย่างการแสดงออกมาซึ่งอารมณ์หงุดหงิด โมโหโดยไม่มีเหตุผล จนบางครั้งเราพ่อแม่ก็อดที่จะกังวลกับพฤติกรรมแบบนี้ของลูกไม่ได้ ความจริงแล้วการที่เด็กเล็กๆ มักมีอารมณ์เกรี้ยวกราดอยู่บ่อยๆ ครั้งนั้น เกิดจากการที่สมอง ส่วนบนของเด็กเล็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ และไม่พร้อมสำหรับการรับมือกับการจัดการอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นที่ยอมรับจากสังคมรอบข้างและผู้ใหญ่อย่างเราได้ ซึ่งหากลองมองให้ลึกลงไปผู้ใหญ่หรือคนรอบข้างควรให้ความสำคัญ ไม่ละเลยที่จะจัดการกับพฤติกรรมนี้ของเด็ก คุณไม่ควรปล่อยให้ลูกสั่งสมพฤติกรรมนี้ไว้มาก เพราะจะทำให้ลูกกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ต้องรู้เท่าทันถึงเด็กบางคนที่ใช้อารมณ์โมโห เกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผลในการควบคุมผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน
บางครั้งความรุนแรงในอารมณ์เกรี้ยวกราดของเด็กๆ อาจไม่ได้ทำให้เฉพาะตัวเด็กเองที่รู้สึกถึงความน่ากลัวของอารมณ์โมโหของตัวเอง แต่สำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่ไม่เคยรับมือกับอารมณ์โมโหเกรี้ยวกราดของเด็กเล็กๆ ได้ อาจรู้สึกโมโห ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่เลยทีเดียว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องมีวิธีในการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ และในบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจเหตุการณ์และสถานการณ์ เพื่อจะได้แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้านั้นๆ ได้อย่างนิ่มนวลกับลูก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ท้าทายบทบาทของพ่อแม่มือใหม่ได้เป็นอย่างดี
เพราะอะไรจึงไม่ควรมองข้าม อารมณ์เกรี้ยวกราดที่เกิดขึ้นกับเด็ก
อารมณ์โมโหเกรี้ยวกราดของเด็ก เป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากช่วงเวลาของอารมณ์โมโห โกรธของเด็กเล็กจะเป็นช่วงเวลาที่สมองสะสมจนกลายเป็นนิสัย และบุคลิกประจำตัวติดไปจนโต ซึ่งหากเด็กเรียนรู้ที่จะสามารถแสดงความรู้สึกออกมาในพฤติกรรมของการโกรธ การโวยวาย ลงไปดิ้นที่พื้นเวลาที่ไม่ได้ของที่ต้องการ เรียกร้องความสนใจการตอบสนองจากพ่อแม่ เด็กก็จะใช้พฤติกรรมนี้ในการเรียกร้องเรื่องต่างๆ จากพ่อแม่ต่อไป
ในขณะเดียวกันเด็กเล็กที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา มองดูเป็นเด็กที่น่ารัก ไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธใดๆ ออกมาเลยถึงแม้ว่าจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ตาม แต่พฤติกรรมนี้ก็อาจเป็นที่มาของการเก็บกดความรู้สึกที่แท้จริง และสั่งสมไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงตอนนั้นเขาก็อาจจะแสดงความรู้สึกโกรธออกมาในแบบที่เราคนเป็นพ่อแม่ไม่ทันได้คาดคิดก็ได้เช่นกัน เด็กที่แสดงอารมณ์โกรธ ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการแสดงอำนาจการควบคุมเสมอไป บางครั้งพ่อแม่อาจเข้าใจผิดไปว่า การที่เด็กมีอารมณ์โกรธเพราะต้องการเอาชนะ คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะมองหาสาเหตุที่ไปกระตุ้นให้เด็กมีอารมณ์โกรธขึ้นมา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์นั้นๆ ขึ้นมาอีก
คุ้มหรือเปล่าที่จะเอาชนะในเรื่องเล็กๆ จนเกิดเป็นความขัดแย้งขึ้น
การปล่อยให้ลูกสามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ตามใจตัวเองบ้าง หากกิจกรรมนั้นไม่ได้มีอันตรายต่อลูกก็จะช่วยลดความขัดแย้งได้ ในบางกรณีคุณแม่ที่ห่วงลูกมาก เฝ้ามองลูกทำกิจกรรมทุกอย่างใกล้ชิด จนบางครั้งก็ทำให้ลูกไม่มีอิสระในการแสดงความคิด ความต้องการที่แท้จริง จนเป็นสาเหตุของการขัดแย้งระหว่างคุณกับลูกได้
The Science of Parenting เขียนโดย Ms. Margot Sunderland ได้แยกประเภทของอารมณ์โมโห เกรี้ยวกราดของเด็กออกเป็น 2 ประเภทคือ Distress tantrum การโมโห เกรี้ยวกราดที่เกิดจากความเสียใจ ผิดหวัง และ Little Nero เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญของพ่อแม่ที่จะต้องเข้าใจว่าการโกรธของลูกมีผลอย่างไรกับสมอง เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและสามารถจัดการได้อย่างถูกต้อง อารมณ์โกรธแบบ Little Nero ที่เกิดกับลูกนั้น คุณจะต้องหนีห่างออกมาจากลูกสักพัก ส่วนอารมณ์โกรธแบบ Distress tantrum ที่เกิดจากความผิดหวัง เสียใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ควรจะต้องเดินเข้าหาลูก และปลอบโยนลูกด้วยความรัก เพื่อไม่ให้ลูกเกิดอารมณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นมาได้อีก
Distress tantrum การโมโหเกรี้ยวกราดที่เกิดจากความเสียใจ และผิดหวัง
คือ 1 ใน 3 หรือมากกว่าของระบบการเตือนในสมองส่วนล่างของเด็กได้ถูกกระตุ้น ระบบเตือนดังกล่าวคือ Rage อารมณ์โกรธ Fear อารมณ์ที่เกิดจากความกลัว Separation Distress ความเสียใจที่เกิดจากการพลัดพราก ซึ่งสิ่งเร้าเหล่านี้จะไปกระตุ้นสารเคมีในสมอง ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ในฐานะพ่อแม่ควรที่จะปลอบประโลมลูก เพื่อให้ลูกได้ผ่อนคลายจากอารมณ์เสียใจที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ มากกว่าที่คุณจะแสดงความโมโหใส่ลูกซึ่งลูกอาจจะหยุดร้องไห้ แต่อาจไปกระตุ้นระบบความกลัว หรือความเสียใจที่เกิดจากการพลัดพรากในสมองขึ้นมาแทน ลูกอาจจะเปลี่ยนเป็นการ ร้องไห้จากภายใน Silent Crying แต่ระดับของเคมี (Cortisol) ยังคงมีระดับที่สูงอยู่อย่างเดิม ทำให้ลูกเกิดเป็นการเก็บกดของความรู้สึกอยู่ภายใน
พ่อแม่ควรที่จะตระหนักว่าเด็กไม่สามารถสื่อสารได้เลยในขณะที่เขายังโกรธอยู่ เมื่อเด็กอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงเคมีในสมอง ซึ่งจะควบคุมการเข้าใจ การสื่อสารของเด็ก ทำให้เด็กไม่สามารถสื่อสารและรับรู้เหตุผลได้ คุณจึงไม่ควรพูดสื่อสาร หรือบังคับให้ลูกตอบสนองกลับ ควรรอให้ลูกปลดปล่อยความรู้สึกออกมาให้หมดเสียก่อน
(Some images used under license from Shutterstock.com.)